|
เน้นการขับบนถนนจริง สอนมารยาทและกฎจราจรในการขับรถประจำวัน เพื่อผู้เรียนสามารถขับรถ ได้อย่างถูกวิธีในการจราจรจริง ปลอดภัยตลอดการเรียนรู้ ด้วยการดูแลของครู้ผู้สอน ใกล้ชิด ติดตั้งเบรคด้านครูผู้ฝึกสอนและการประกันภัยรถยนต์ ดูแลการสอบใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ สอนท่าสอบจริง แนะนำหลักการที่พัฒนาได้ผลจริง แนะแนวข้อสอบ |
กดลิงก์เว็บ http://www.kruaos.com
|
กดลิงก์.
|
ผู้ขับรถกระทำผิดตามกฎหมายจราจรทางบกและได้รับใบสั่งจากเจ้าพนักงานจราจร ต้องไปติดต่อชำระค่าปรับภายใน 7 วัน
เมื่อใบอนุญาตขับรถสูญหายหรือชำรุดต้องยื่นขอรับใบแทนต่อนายทะเบียนภายใน 15 วัน
ผู้ขับรถไม่มีใบอนุญาตขับรถ มีความผิดจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ใบอนุญาตขับรถชนิดชั่วคราวมีอายุ 1 ปี
ผู้ขับรถใช้ใบอนุญาตขับรถที่สิ้นอายุ มีความผิดปรับไม่เกิน 2,000 บาท
รถที่ไม่เสียภาษีประจำปีภายในกำหนด จะต้องเสียเงินเพิ่มร้อยละ 1 ต่อเดือน
การโอนรถต้องแจ้งต่อนายทะเบียนภายใน 15 วัน
การเปลี่ยนสีรถต้องแจ้งต่อนายทะเบียนภายใน 7 วัน
การต่ออายุใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคล (5 ปี) สามารถต่อก่อนล่วงหน้าได้ 3เดือน
รถยนต์ที่มีอายุครบ 7 ปี ต้องนำไปตรวจสภาพรถก่อนเสียภาษีประจำปี
การย้ายรถต้องแจ้งต่อนายทะเบียนภายใน 15 วัน
รถจักรยานยนต์ที่มีอายุครบ 5 ปี ต้องนำไปตรวจสภาพรถก่อนเสียภาษีประจำปี
ตาม พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2522 "รถ" หมายถึง รถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถพ่วง รถบดถนน รถแทรกเตอร์ และรถอื่นที่กำหนดในกฎกระทรวง
ตาม พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2522 "รถยนต์" หมายถึง รถสาธารณะ รถยนต์บริการ และรถยนต์ส่วนบุคคล
ตาม พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2522 "รถจักรยานยนต์" หมายถึง รถที่เดินรถกำลังเครื่องยนต์หรือกำลังไฟฟ้าและมีล้อไม่เกินสองล้อ ถ้ามีถ่วงข้างมีล้ออีกไม่เกินหนึ่งล้อรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล ไม่ใช่ "รถยนต์รับจ้างสาธารณะ"
ตาม พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2522 "รถยนต์บริการ" หมายถึง รถยนต์บรรทุกคนโดยสารหรือให้เช่าซึ่งบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน
รถจัการยานยต์ส่วนบุคคล คือ "รถยนต์ส่วนบุคคล"รถที่นำมาใช้บนถนนต้องจดทะเบียนและชำระภาษีเรียบร้อยแล้ว
รถที่สามารถนำมาจดทะเบียนต้องมีอุปกรณ์ส่วนควบถูกต้องและผ่านการตรวจสภาพรถ
รถสำหรับเฉพาะพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้รับการยกเว้นไม่ต้องจดทะเบียน
รถของกรมตำรวจที่จดทะเบียนและมีเครื่องหมายตามระเบียบที่อธิบดีกำหนด ได้รับการยกเว้นไม่ต้องจดทะเบียน
รถได้รับการยกเว้นไม่ต้องจดทะเบียน ได้แก่ รถสำหรับเฉพาะพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รถของกรมตำรวจที่จดทะเบียนและมีเครื่องหมายตามระเบียบที่อธิบดีกำหนด รถของสำนักพระราชวังที่จดทะเบียนและมีเครื่องหมายตามระเบียบที่เลขาธิการพระราชวังกำหนด
รถที่เจ้าของรถแจ้งการไม่ใช้รถ ได้รับการยกเว้นไม่ต้องจดทะเบียน
- รถที่ผู้ผลิตหรือประกอบเพื่อจำหน่ายหรือที่ผู้นำเข้าเพื่อจำหน่าย ผลิต ประกอบหรือนำเจ้า และยังมิได้จำหน่ายให้แก่ผู้อื่นได้รับการยกเว้นไม่ต้องจดทะเบียน
- รถดับเพลิง ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเว้นแต่ค่าธรรมเนียมแผ่นป้ายทะเบียนรถ
- รถพยาบาลที่มิใช่เป็นรถสำหรับรับจ้าง ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเว้นแต่ค่าธรรมเนียมแผ่นป้ายทะเบียนรถ
- รถของกระทรวง ทบวง กรม เทศบาล องค์การบริหารส่วนจังหวัด สุขาภิบาล กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา และราชการส่วนท้องถิ่นที่เรียกชื่ออย่างอื่น ทั้งนี้ เฉพาะรถที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเว้นแต่ค่าธรรมเนียมแผ่นป้ายทะเบียนรถมิได้ใช้ในทางการค้าหรือกำไร
- รถบดของรัฐวิสาหกิจ ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเว้นแต่ค่าธรรมเนียมแผ่นป้ายทะเบียนรถ
- รถแทรกเตอร์ของรัฐวิสาหกิจ ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเว้นแต่ค่าธรรมเนียมแผ่นป้ายทะเบียนรถ
- รถของสภากาชาดไทย ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเว้นแต่ค่าธรรมเนียมแผ่นป้ายทะเบียนรถ
- รถของบุคคลในคณะผู้แทนทางการทูต ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเว้นแต่ค่าธรรมเนียมแผ่นป้ายทะเบียนรถ
- รถดับเพลิงของ อบต. ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเว้นแต่ค่าธรรมเนียมแผ่นป้ายทะเบียนรถ
- ประสงค์จดทะเบียนรถต้องยื่นคำขอต่อนายทะเบียนแห่งท้องที่ที่ตนมีภูมิลำเนา
- รถที่จดทะเบียนแล้ว หากประสงค์จะเปลี่ยนสีรถต้องดำเนินการแจ้งนายทะเบียนภายใน 7 วัน
- หากประสงค์เปลี่ยนแปลงตัวถังรถต้องดำเนินการขออนุญาตนายทะเบียน ตามภูมิลำเนาที่จดทะเบียนรถ
- ผู้ตรวจการตาม พ.ร.บ. รถยนต์ คือ เจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางบก ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมแต่งตั้ง
- หากประสงค์จะย้ายรถ เจ้าของรถต้องแจ้งย้ายรถต่อนายทะเบียนภายใน 15 วัน
- กรณีเจ้าของรถมีภารกิจไม่สามารถมาดำเนินแจ้งย้ายรถต่อนายทะเบียนภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด มีความผิด ต้องชำระค่าปรับแจ้งย้ายเกินกำหนด
- หากประสงค์จะโอนรถเจ้าของรถต้องแจ้งโอนรถต่อนายทะเบียนภายใน 15 วัน
- กรณีเจ้าของรถมีภารกิจไม่สามารถมาดำเนินแจ้งโอนรถต่อนายทะเบียนภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด มีความผิด ต้องชำระค่าปรับโอนเกินกำหนด
- รถยนต์ส่วนบุคคล นำมาใช้รับจ้างไม่ได้
- นาย ก นำรถจักรยานยนต์สาธารณะของตนเองรับส่งภรรยาไปตลาดได้เพราะรถจักรยานยนต์สาธารณะสามารถนำมาใช้กิจการส่วนตัวของเจ้าของรถได้
- รถจักรยานยนต์สาธารณะใช้รับจ้างบรรทุกคนโดยสารได้
- รถยนต์ ไว้เพื่อขายหรือเพื่อซ่อม (ป้ายแดง) ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ ขับได้ระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นจนถึงพระอาทิตย์ตก
- รถที่ไม่ได้เสียภาษีภายในเวลาที่กำหนดต้องชำระเงินเพิ่มร้อยละ 1 บาทต่อเดือน
- รถที่ค้างชำระภาษีประจำปีติดต่อกันครบสามปี จะมีผลตามกฎหมาย คือ ทะเบียนระงับ
- รถยนต์อายุการใช้งานครบ 7 ปี ประสงค์จะต่อภาษีประจำปีต้องนำรถไปตรวจที่สถานตรวจสภาพเอกชน
- รถจักรยานยนต์อายุการใช้งานครบ 5 ปี ประสงค์จะต่อภาษีประจำปีต้องนำรถไปตรวจที่สถานตรวจสภาพเอกชน
- ในขณะขับรถ ผู้ขับรถต้องมีใบอนุญาตขับรถ และสำเนาภาพถ่ายใบคู่มือจดทะเบียนรถ
- ใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ ใช้แทน ใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคลได้
- ใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์สาธารณะ ใช้แทน ใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลได้
- ใบอนุญาตขับรถยนต์สามล้อสาธารณะ ใช้แทน ใบอนุญาตขับรถยนต์สามล้อส่วนบุคคลได้
- ใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคลชั่วคราวมีอายุ 1 ปี
- หากประสงค์จะเปลี่ยนประเภทใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคลชั่วคราวเป็นประเภทส่วนบุคคลชนิด 5 ปี สามารถเปลี่ยนได้ล่วงหน้า 60 วัน
- ใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคลชนิด 5 ปีต่ออายุล่วงหน้า 3 เดือน
- นาย ก เกิดที่จังหวัดเชียงใหม่ ประสงค์ขอรับใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคลชั่วคราว จะต้องไปดำเนินการที่สำนักงานขนส่งจังหวัด และสำนักงานขนส่งจังหวัดสาขา ทุกแห่ง
- ผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถยนต์ชั่วราวต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี บริบูรณ์
- นายชาย พิการไม่มีนิ้วมือข้างซ้าย ประสงค์ขอรับใบอนุญาตขับรถยนต์ชั่วคราวได้ เพราะ ไม่เป็นผู้มีร่างกายพิการจนเป็นที่เห็นได้ว่าไม่สามารถขับรถได้
- นายชาย ไม่เป็นผู้มีร่างกายพิการจนเป็นที่เห็นได้ว่าไม่สามารถขับรถได้ สามารถขอรับใบอนุญาตขับรถได้
- นายแดง ประสงค์ขอรับใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ ต้องได้รับใบอนุญาตขับรถมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี ไม่เป็นผู้มีร่างกายพิการจนเป็นที่เห็นได้ว่าไม่สามารถขับรถได้และไม่เป็นบุคคลวิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือน
- ผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะต้องรู้จักถนนและทางหลวงในจังหวัดที่ขอรับใบอนุญาตขับรถพอสมควร
- ผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะต้องรู้จักถนนและทางหลวงในจังหวัดที่ขอรับใบอนุญาตขับรถพอสมควร ไม่เป็นผู้ติดสุรายาเมาหรือยาเสพติดให้โทษและมีสัญชาติไทย
- หากปรากฏภายหลังว่าเป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการขอรับใบอนุญาตขับรถ จะต้องแจ้งให้นายทะเบียนเพื่อเพิกถอนใบอนุญาตและนำใบอนุญาตขับรถที่ถูกเพิกถอนส่งคืนกรมการขนส่งทางบก
- กรณีถูกพักใช้ใบอนุญาตขับรถมีสิทธิอุทธรณ์ได้ภายใน 15 วัน
- กรณีถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับรถมีสิทธิอุทธรณ์ได้ภายใน 15 วัน
- กรณีถูกพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับรถมีสิทธิอุทธรณ์ได้ภายใน 15 วัน
- ผู้ได้รับใบอนุญาตขับรถที่ถูกสั่งเพิกถอนใบอนุญาตขับรถต้องส่งคืนใบอนุญาตขับรถให้แก่นายทะเบียนภายใน 15 วัน
- ใบอนุญาตขับรถสูญหายต้องแจ้งนายทะเบียนภายใน 15 วันนับแต่วันทราบเหตุนั้น
- ใบอนุญาตขับรถชำรุดในสาระสำคัญต้องแจ้งนายทะเบียนภายใน 15 วันนับแต่วันทราบเหตุนั้น
- เมื่อกระทำผิดตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ และได้รับคำสั่งผู้ตรวจการรถยนต์ให้ไปรายงานตัวผู้ขับรถจะต้องไปรายงานตัวต่อนายทะเบียนภายใน 7 วัน
- ผู้ขับรถยนต์สาธารณะสามารถปฎิเสธไม่รับจ้างบรรทุกคนโดยสารได้กรณีผู้โดยสารเมาสุรา ผู้โดยสารนำทุเรียนส่งกลิ่นขึ้นมาบนรถและผู้โดยสารเป็นบุคคลวิกลจริต
- ผู้ขับรถยนต์สาธารณะต้องพาผู้โดยสารไปยังสถานที่ที่ว่าจ้างตามเส้นทางที่ตกลงกันไว้
- ผู้ขับรถยนต์สาธารณะต้องพาผู้โดยสารไปยังสถานที่ที่ว่าจ้างตามเส้นทางที่สั้นที่สุด
- ผู้ขับรถผู้ขับรถสาธารณะต้องไม่สูบบุหรี่
- ผู้ขับรถสาธารณะต้องไม่ทำตนน่าลำคาญ
- ผู้ขับรถสาธารณะต้องไม่กล่าววาจาไม่สุภาพ เสียดสี
- ผู้ขับรถสาธารณะต้องไม่ก้าวร้าว ดูหมิ่นผู้โดยสาร
- ในขับรถผู้ขับรถสาธารณะต้องไม่เสพสุราของมึนเมา
- ผู้ขับรถสาธารณะต้องไม่เสพยาเสพติดให้โทษ
- ผู้ขับรถสาธารณะต้องไม่เสพวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท
- ผู้ขับรถสาธารณะต้องไม่ขับรถในขณะหย่อนความสามารถ
- ผู้ใดขับรถโดยไม่ได้รับใบอนุญาตขับรถมีโทษ จำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- ผู้ใดขับรถโดยใบอนุญาตขับรถสิ้นอายุมีโทษ ปรับไม่เกิน 2,000 บาท
- นาย ก ใช้รถยนต์มาแล้วเป็นปีที่ 6 ประสงค์จะเสียภาษีรถประจำปีต้องใช้ใบรับรองการผ่านตรวจสภาพเอกชน , พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ในการชำระภาษี
- เมื่อรถทะเบียนระงับ หากประสงค์จะจดทะเบียนรถใหม่ต้องนำรถไปตรวจสภาพรถที่สำนักงานขนส่งจังหวัดในภูมิลำเนาที่ประสงค์จดทะเบียนรถ
- ประกันภัยชนิด คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ใช้ประกอบการต่ออายุภาษีประจำปี
หมวด กฎหมายว่าด้วยจราจรทางบก
- การขับรถผ่านทางร่วมทางแยก ท่านต้องปฏิบัติตามสัญญาณไฟจราจรหรือกฎจราจรอย่างเคร่งครัด
- ผู้ขับขี่ที่ต้องการเลี้ยวรถต้องชะลอรถและเปิดไฟเลี้ยวก่อนถึงทางเลี้ยวไม่น้อยกว่า 30 เมตร
- การหยุดรถบริเวณทางแยกผู้ขับขี่ต้องหยุดหลังเส้นแนวหยุด
- บริเวณที่ห้ามแซง ได้แก่ บริเวณทางโค้งรัศมีแคบ ส่วนบริเวณที่ผู้ขับขี่สามารถแซงได้ คือ บริเวณทางตรง ทางโล่ง ทางที่ปลอดภัย ทั้งนี้ ต้องใช้ความระมัดระวังขณะแซงด้วย
- การจอดรถต้องจอดให้ห่างจากขอบทางไม่เกิน 25 เซนติเมตร
- การขับรถแซงรถคันหน้าต้องแซงด้านขวามือ ยกเว้นกรณีที่เมื่อรถที่จะถูกแซงกำลังเลี้ยวขวา หรือให้สัญญาณว่าจะเลี้ยวขวา ผู้ขับขี่จึงสามารถแซงด้านซ้ายมือได้
- รถที่สามารถนำมาใช้ในทางได้ต้องเป็นรถที่จดทะเบียนและเสียภาษีแล้ว มีการติดแผ่นป้ายทะเบียนของทางราชการกำหนด และมีอุปกรณ์ส่วนควบครบถ้วน
- รถที่ห้ามนำมาใช้ในทาง เช่น รถที่ขาดต่อภาษี รถที่ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนของทางราชการกำหนด รถที่มีสภาพไม่มั่นคงแข็งแรง และรถที่แจ้งเลิกใช้ตลอดไป เป็นต้น
- เขตปลอดภัย หมายถึง พื้นที่ในทางเดินรถที่มีเครื่องหมายแสดงไว้ให้เห็นได้ชัดเจนทุกเวลาสำหรับให้คนเดินเท้าที่ข้ามทางหยุดรอ หรือให้คนที่ขึ้นหรือลงจากรถหยุดรอก่อนจะข้ามทางต่อไป
- รถที่สามารถนำมาใช้ในทางเดินรถได้ต้องเป็นรถที่มีเสียงเครื่องยนต์ดังในระดับ 80 เดซิเบล ห้ามนำรถที่มีเสียงดังกว่าเกณฑ์ที่ทางราชการกำหนด รถที่มีสิ่งลากถูไปบนทางเดินรถ หรือรถที่มีล้อไม่ใช่ยาง มาใช้ในทาง
- สัญญาณจราจรไฟสีแดงที่ทำเป็นรูปกากบาทเฉียงอยู่เหนือช่องเดินรถ หมายถึง ห้ามมิให้ผู้ขับขี่ขับรถในช่องเดินรถนั้น
- เมื่อพนักงานจราจรยืนและเหยียดแขนซ้ายออกไปเสมอระดับไหล่ ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถมาจากทางด้านหลังของพนักงานจราจรจะต้องหยุดรถ
- เมื่อพนักงานจราจรยืนและเหยียดแขนขวาท่อนล่างตั้งฉากกับแขนท่อนบนและตั้งฝ่ามือขึ้น ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถมาจากทางด้านไหนของพนักงานจราจรจะต้องหยุดรถ
- การขับรถผ่านทางร่วมทางแยกที่มีสัญญาณจราจรไฟกระพริบสีแดง ผู้ขับขี่ต้องหยุดรถหลังเส้นให้รถหยุด เมื่อเห็นว่าปลอดภัยและไม่เป็นการกีดขวางการจราจรจึงให้ขับรถต่อไปด้วยความระมัดระวัง
- การขับรถผ่านทางร่วมทางแยกที่มีสัญญาณจราจรไฟกระพริบสีเหลือง ผู้ขับขี่ต้องลดความเร็วของรถลงและผ่านทางเดินรถนั้นไปด้วยความระมัดระวัง
- ผู้ขับขี่ต้องขับรถในทางเดินรถด้านซ้าย ยกเว้นกรณีที่ด้านซ้ายของทางเดินรถมีสิ่งกีดขวาง ผู้ขับขี่จึงจะสามารถเดินรถทางขวาหรือ ล้ำกึ่งกลางของทางเดินรถได้
- การให้สัญญาณด้วยแขน โดยผู้ขับขี่ยื่นแขนขวาตรงออกไปนอกตัวรถเสมอระดับไหล่และโบกมือขึ้นลงหลายครั้ง หมายถึงผู้ขับขี่นั้นต้องการจะลดความเร็วของรถ
- ผู้ขับขี่ต้องขับรถให้ห่างจากรถคันหน้าในระยะที่จะสามารถหยุดรถได้โดยปลอดภัยเมื่อมีความจำเป็น ไม่ได้กำหนดระยะห่างที่ชัดเจน เนื่องจากขึ้นอยู่กับสภาพความหนาแน่นของการจราจร และสมรรถนะของรถที่ขับ
- ผู้ขับขี่ต้องการจะเลี้ยวซ้ายต้องขับรถในช่องเดินรถด้านซ้ายก่อนถึงทางเลี้ยวไม่น้อยกว่า 30 เมตร
- ผู้ขับขี่ต้องเปิดไฟหน้าหรือไฟท้ายรถ ให้รถคันอื่นเห็นได้ในระยะไม่น้อยกว่า 150 เมตร
- ในการขับรถสวนทางกัน ผู้ขับขี่ต้องให้ขับรถชิดด้านซ้าย
- ห้ามมิให้ผู้ขับขี่รถแซงเพื่อขึ้นหน้ารถคันอื่นขณะที่มีหมอก ฝุ่น ฝน หรือควัน จนไม่อาจเห็นทางข้างหน้าได้ในระยะ 60 เมตร
- บริเวณที่ห้ามขับรถแซงรถคันอื่น เช่น ทางโค้งรัศมีแคบ ทางร่วมทางแยก สะพานเดินรถทางเดียว ห้ามแซงรถในอุโมงค์
- บริเวณที่กฎหมายจราจรยอมให้ขับรถแซงรถคันอื่น เช่น ในกรณีที่ทางเดินรถด้านซ้ายมีสิ่งกีดขวาง หรือในระยะ 150 เมตร จากทางร่วมทางแยก หรือแซงด้านซ้ายในขณะที่มีรถรอเลี้ยวขวา หรือบนพื้นทางที่มีเครื่องหมายจราจรให้แซงได้
- ในระยะ 150 เมตร จากทางราบของเชิงสะพาน ผู้ขับรถสามารถกลับรถได้โดยใช้ความระมัดระวังด้วย
- ส่วนบริเวณที่ห้ามกลับรถ ได้แก่ บริเวณทางเดินรถที่มีเครื่องหมายห้ามกลับรถ บริเวณบนสะพาน และบริเวณเขตปลอดภัย
- เมื่อผู้ขับขี่พบเครื่องหมาย "เลี้ยวซ้ายผ่านตลอด" ผู้ขับขี่ควรหยุดรอให้คนข้ามถนนและรถที่มาจากทางด้านขวามือขับผ่านไปก่อนแล้วจึงเลี้ยวซ้ายผ่านไป
- ผู้ที่มีหน้าที่ให้สัญญาณจราจรตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 ได้แก่ พนักงานจราจร และผู้ขับขี่ยานพาหนะ ส่วนคนเดินเท้าไม่มีหน้าที่ให้สัญญาณจราจร
- ผู้ขับรถต้องไม่จอดรถบริเวณทางร่วมทางแยก แต่เมื่อถึงบริเวณวงเวียนต้องลดความเร็ว หรือเมื่อเห็นคนกำลังข้ามถนน ตลอดจนลดความเร็วเมื่อถึงที่คับขัน
- เมื่อจะเปลี่ยนช่องทางหรือแซงรถทุกครั้ง ผู้ขับรถต้องให้สัญญาณไฟหรือสัญญาณแตร ต้องไม่รีบเปลี่ยนช่องทางโดยเร็ว หรือแซงขึ้นหน้าแล้วเหยียบเบรกทันที หรือรีบเร่งเครื่องแซงโดยเร็ว
- รถ ได้แก่ บริเวณที่มีป้ายห้ามหยุดรถ ในอุโมงค์ บริเวณทางร่วมทางแยก
- ข้อปฏิบัติในการขับรถที่ถูกต้อง คือ ผู้ขับรถต้องขับรถเร็วไม่เกินอัตราที่กฎหมายกำหนด
- ห้ามขับรถในลักษณะกีดขวางการจราจร หรือขับรถลักษณะผิดปกติวิสัย
- เมื่อถึงทางรถไฟและมีรถไฟกำลังแล่นผ่าน ผู้ขับขี่ต้องหยุดรถให้ห่างจากทางรถไฟไม่น้อยกว่า 5 เมตร อย่าขับรถผ่านไปโดยเร็ว หรือให้เสียงสัญญาณแตรเตือนและขับผ่านไป และไม่จำเป็นต้องเปิดไฟฉุกเฉิน
- บริเวณที่ผู้ขับรถไม่ควรใช้สัญญาณเสียงแตร ได้แก่ โรงเรียน สถานที่ราชการ โรงพยาบาล
- ส่วนบริเวณที่ผู้ขับรถสามารถใช้สัญญาณเสียงแตรได้ ได้แก่ สวนสาธารณะ
- เมื่อเกิดอุบัติเหตุผู้ขับขี่หลบหนีจะมีผลให้สันนิษฐานว่าผู้นั้นเป็นผู้กระทำผิด
- ผู้ขับรถยังสามารถใช้สัญญาณเสียงแตรได้เมื่อจำเป็นเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ แต่ไม่ควรใช้เมื่อเห็นรถคันข้างหน้าขับช้า
- ขณะขับขี่รถต้องเว้นระยะห่างรถคันหน้าในระยะที่ปลอดภัย
- ก่อนเลี้ยวรถต้องเข้าช่องทางที่จะเลี้ยวและเปิดไฟเลี้ยวก่อนเลี้ยวรถในระยะไม่น้อยกว่า 30 เมตร เพื่อให้ผู้ที่ขับตามหลังมาทราบ
- ผู้ขับรถที่ดื่มสุรา เมื่อวัดระดับแอลกอฮอล์ในลมหายใจจะต้องไม่เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็น ส่วนผู้ขับรถยนต์สาธารณะ ผู้ขับรถโดยสารสาธารณะและรถบรรทุก ขณะขับรถต้องมีระดับแอลกอฮอล์ในลมหายใจเท่ากับศูนย์เท่านั้น
- ขณะขับรถตรวจพบแอลกอฮอล์ในร่างกายเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปีหรือปรับตั้งแต่ 5,000 ถึง 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- ในเขตกรุงเทพ เขตเมืองพัทยา หรือเขตเทศบาล ผู้ขับรถตามกฎหมายรถยนต์ต้องขับรถด้วยความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- นอกเขตกรุงเทพ เขตเมืองพัทยา หรือเขตเทศบาล ผู้ขับรถตามกฎหมายรถยนต์ต้องขับรถด้วยความเร็วไม่เกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- ในการให้สัญญาณไฟเลี้ยว จะต้องให้ผู้ขับรถคันอื่นเห็นได้ในระยะไม่น้อยกว่า 60 เมตร
- การให้สัญญาณมือ ผู้ขับขี่ซึ่งจะเลี้ยวรถจะต้องให้สัญญาณมือด้วยมือขวาเท่านั้น
- บริเวณทางร่วมทางแยกและมีเครื่องหมายห้ามกลับรถแต่เจ้าพนักงานจราจรอนุญาตให้กลับรถได้ผู้ขับขี่ก็สามารถกลับรถได้ เนื่องจากผู้ขับขี่ต้องปฏิบัติตามสัญญาณของเจ้าพนักงาน
- ผู้ขับขี่ที่ต้องการกลับรถต้องสังเกตป้ายจราจรที่อนุญาตให้กลับรถและเข้าช่องทางให้ถูกต้อง ห้ามกลับรถขณะเข้าช่องทางที่มีลุกศรบนพื้นถนนให้ตรงไป หรือกลับรถที่บริเวณเส้นทะแยงเหลือง
- การปฏิบัติที่ถูกต้องขอรถจักรยานยนต์ คือ รถจักรยานยนต์ต้องขับในช่องเดินรถด้านซ้ายสุด
- ในช่องทางเดินรถตั้งแต่สองช่องทางขึ้นไปในทิศทางเดียวกัน ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ ต้องขับรถชิดด้านซ้ายสุด
- ผู้ที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องสวมหมวกนิรภัยขณะโดยสารรถจักรยานยนต์ คือ ภิกษุ สามเณร
- ข้อปฏิบัติที่ถูกต้องในการใช้ไฟฉุกเฉิน คือ ใช้ไฟฉุกเฉินเมื่อรถเสียหรือเกิดอุบัติเหตุ
- ในการบรรทุกสิ่งของ ผู้ขับขี่ต้องบรรทุกยื่นพ้นตัวรถด้านหลังไม่เกิน 2.50 เมตร
- การลากจูงรถที่ไม่สามารถใช้พวงมาลัยหรือเบรกได้ ควรใช้วิธีการยกหน้าหรือยกท้ายลากไป
- รถที่มีความเร็วช้า ผู้ขับขี่จะต้องขับรถชิดขอบด้านซ้าย
หมวด เครื่องหมายพื้นทาง
- เมื่อพบเครื่องหมายนี้ ผู้ขับขี่ต้องขับรถให้ช้าลงถ้าเห็นว่าจะไม่ปลอดภัยต่อรถคันอื่นหรือคนเดินเท้าในทางข้างหน้า ต้องหยุดรถก่อนถึงเส้นให้ทาง
- เครื่องหมายนี้ คือ เครื่องหมายเส้นชะลอความเร็ว
- เครื่องหมายนี้ หมายความว่า รถที่อยู่ด้านเส้นทึบห้ามผ่านหรือคร่อมเส้นทึบ แต่รถที่อยู่ด้านเส้นประอาจแซงได้เมื่อเห็นว่าปลอดภัย
- เมื่อพบเครื่องหมายนี้ ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนช่องเดินรถหรือช่องจราจร หรือสามารถแซงได้
- เมื่อพบเครื่องหมายนี้ ให้ผู้ขับขี่ขับรถให้ช้าลง หากเห็นรถคันอื่นหรือคนเดินเท้าในทางขวางหน้า ต้องหยุดรถก่อนถึงแนวเส้นให้ทาง
- เมื่อพบเครื่องหมายนี้ ให้ผู้ขับขี่หยุดรถก่อนถึงเส้นแนวหยุดหรือเส้นให้ทาง เพื่อให้คนเดินเท้าข้ามทางผ่านไปก่อน
- เมื่อพบเครื่องหมายนี้ ให้ผู้ขับขี่ขับรถภายในช่องจราจร ห้ามแซง ห้ามขับรถผ่านหรือคร่อมเส้นโดยเด็ดขาด
- เมื่อพบเครื่องหมายนี้ ให้ผู้ขับขี่ขับรถในช่องการจราจร ห้ามคร่อมเส้น แต่แซงได้
- เมื่อพบเครื่องหมายนี้ ให้ผู้ขับขี่หยุดรถก่อนถึงแนวเส้นขวางทุกครั้ง
- เครื่องหมายนี้ คือ เครื่องหมายเขตปลอดภัย
- เครื่องหมายนี้ หมายความว่า ห้ามหยุดรถทุกชนิดภายในกรอบเส้นทะแยงห้ามหยุดรถ ยกเว้นรถที่หยุดรอเพื่อเลี้ยวขวา
หมวด ป้ายบังคับ
- ป้ายห้ามแซง เมื่อพบเครื่องหมายห้ามแซง ห้ามผู้ขับขี่ขับแซงขึ้นหน้ารถคันอื่นในเขตทางที่ติดตั้งป้าย
- ป้ายห้ามเข้า เมื่อพบเครื่องหมายห้ามเข้า ห้ามขับรถทุกชนิดเข้าไปในทิศทางที่ติดตั้งป้าย
- ป้ายห้ามกลับรถไปทางขวา เครื่องหมายนี้ คือ ห้ามกลับรถไปทางขวา
- ป้ายห้ามกลับรถไปทางซ้าย เครื่องหมายนี้ คือ ห้ามกลับรถไปทางซ้าย
- ป้ายห้ามเลี้ยวซ้าย เครื่องหมายนี้ คือ ห้ามเลี้ยวซ้าย
- ป้ายห้ามเลี้ยวขวา เครื่องหมายนี้ คือ ห้ามเลี้ยวขวา
- ป้ายห้ามเปลี่ยนช่องเดินรถไปทางขวา เครื่องหมายนี้ คือ ห้ามเปลี่ยนช่องเดินรถไปทางขวา
- ป้ายห้ามเลี้ยวขวาหรือกลับรถ เครื่องหมายนี้ คือ ห้ามเลี้ยวขวาหรือกลับรถ
- ป้ายห้ามเลี้ยวซ้านหรือกลับรถ เครื่องหมายนี้ คือ ห้ามเลี้ยวซ้ายหรือกลับรถ
- ป้ายห้ามรถยนต์ผ่าน เครื่องหมายนี้ หมายความว่า ห้ามรถยนต์ทุกชนิดผ่านเข้าไปในเขตที่ติดตั้งป้าย
- ป้ายห้ามรถบรรทุกผ่าน เครื่องหมายนี้ หมายความว่า ห้ามรถบรรทุกทุกชนิดผ่านเข้าออกในเขตทางที่ติดตั้งป้าย
- ป้ายห้ามรถจักรยานยนต์ผ่าน เครื่องหมายนี้ หมายความว่า ห้ามรถจักรยานยนต์ผ่าน
- ป้ายห้ามรถจักรยานยนต์และรถยนต์ผ่าน เครื่องหมายนี้ หมายความว่า ห้ามรถจักรยานยนต์และรถยนต์ทุกชนิดผ่านเข้าออก
- ป้ายห้ามใช้เสียง เครื่องหมายนี้ คือ เครื่องหมายห้ามใช้เสียง
- ป้ายห้ามจอด เครื่องหมายนี้ คือ เครื่องหมายห้ามจอดรถทุกชนิด
- ป้ายห้ามหยุดรถ เครื่องหมายนี้ คือ เครื่องหมายห้ามหยุดหรือจอดรถทุกชนิด
- ป้ายเฉพาะคนเดิน เครื่องหมายนี้ หมายความว่า เส้นทางนั้นให้เฉพาะคนเดิน
- ป้ายจำกัดความเร็ว เครื่องหมายนี้ หมายความว่า ห้ามใช้ความเร็วเกินกว่า 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- ป้ายห้ามรถหนักเกินกำหนดผ่าน เครื่องหมายนี้ หมายความว่า ห้ามรถบรรทุกที่มีน้ำหนักรถและน้ำหนักบรรทุกเกินกว่า 10 ตัน ผ่านเข้าออก
- ป้ายหยุด เมื่อพบเครื่องหมายนี้ ผู้ขับขี่ต้องหยุดให้รถและคนเดินเท้าในทางขวางหน้าผ่านไปก่อน เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้ว จึงขับรถต่อไปได้
- ป้ายให้ทาง เครื่องหมายบังคับให้ทาง หมายความว่า ผู้ขับขี่ต้องให้ทางแก่รถหรือคนเดินเท้าบนทางขวางข้างหน้าผ่านไปก่อน
- ป้ายให้รถสวนทางมาก่อน เมื่อพบเครื่องหมายนี้ ผู้ขับขี่ต้องหยุดรถตรงตำแหน่งที่ติดตั้งป้ายและให้รถที่กำลังสวนทางมาผ่านไปก่อน
- ป้ายให้รถเดินทางเดียว เครื่องหมายนี้ หมายความว่า ต้องขับรถตรงไปตามทิศทางที่ป้ายกำหนดเป็นทางเดินรถทางเดียวเท่านั้น
- ป้ายให้เดินรถทางเดียวไปทางซ้าย เครื่องหมายนี้ หมายความว่า ทางข้างหน้าเป็นทางบังคับให้เดินรถทางเดียวไปทางซ้ายเท่านั้น
- ป้ายให้เดินรถทางเดียวไปทางขวา เครื่องหมายนี้ หมายความว่า ผู้ขับขี่ต้องขับรถผ่านไปทางด้านขวาของป้าย
- ป้ายให้ชิดซ้าย เครื่องหมายนี้ หมายความว่า ผู้ขับขี่ต้องขับรถผ่านไปทางด้านซ้ายของป้าย
- ป้ายให้ชิดขวา เครื่องหมายนี้ หมายความว่า ผู้ขับขี่ต้องขับรถผ่านไปทางด้านขวาของป้าย
- ป้ายให้ชิดซ้ายหรือขวา เครื่องหมายนี้ หมายความว่า ให้ขับขี่ชิดซ้ายหรือชิดขวา
- ป้ายให้เลี้ยวขวา เครื่องหมายนี้ หมายความว่า ให้เลี้ยวซ้าย
- ป้ายให้เลี้ยวซ้าย เครื่องหมายนี้ หมายความว่า ให้เลี้ยวขวา
- ป้ายให้เลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา เครื่องหมายนี้ หมายความว่า ให้เลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา
- ป้ายให้ตรงไปหรือเลี้ยวซ้าย เครื่องหมายนี้ หมายความว่า ให้ตรงไปหรือเลี้ยวซ้าย
- ป้ายให้ตรงไปหรือเลี้ยวขวา เครื่องหมายนี้ คือ เครื่องหมายให้ตรงไปหรือเลี้ยวขวา
- ป้ายวงเวียน เมื่อผู้ขับขี่พบเครื่องหมายนี้ ให้ผู้ขับขี่รถทุกชนิดต้องขับรถวนทางซ้ายของวงเวียนและหยุดรอให้รถที่แล่นอยู่ในทางรอบบริเวณวงเวียนผ่านไปก่อน
- ป้ายช่องเดินรถประจำทาง เมื่อพบเครื่องหมายนี้ ผู้ขับขี่ห้ามแซงล้ำเข้าไปในช่องเดินรถประจำทาง
- ป้ายช่องเดินรถมวลชน เมื่อพบเครื่องหมายนี้ แสดงว่าช่องเดินรถนั้น ให้เฉพาะรถที่มีคนนั่งไม่น้อยกว่า 3 คน สามารถเข้าวิ่งในช่องเดินรถนั้นได้
- ป้ายช่องเดินรถจักรยานยนต์ เครื่องหมายนี้ คือ เครื่องหมายช่องเดินรถจักรยานยนต์
- ป้ายสุดเขตบังคับ เครื่องหมายนี้ คือ เครื่องหมายสุดเขตบังคับ
หมวด ป้ายเตือน
- เมื่อพบเครื่องหมายนี้ ผู้ขับขี่ต้องขับรถช้าลง และระมัดระวังคนงานกำลังทำงาน อาจมีวัสดุอุปกรณ์วางบนผิดจราจร
- เมื่อพบเครื่องหมายนี้ ผู้ขับขี่ควรขับรถให้ช้าลงและระมัดระวัง ทางข้างหน้ากำลังมีงานสำรวจอยู่บนผิวจราจรหรือทางเดินรถ
- เมื่อพบเครื่องหมายนี้ ผู้ขับขี่ควรขับรถให้ช้าลง
- เมื่อพบเครื่องหมายนี้ ผู้ขับขี่ควรขับรถให้ช้าลง และเพิ่มความระมัดระวัง ทางข้างหน้าต้องใช้ทางเบี่ยงด้านซ้าย
- เมื่อพบเครื่องหมายนี้ ผู้ขับขี่ควรขับรถให้ช้าลง และเพิ่มความระมัดระวัง ทางข้างหน้าต้องใช้ทางเบี่ยงด้านขวา
- เมื่อพบเครื่องหมายนี้ ผู้ขับขี่ควรขับรถให้ช้าลง และเพิ่มความระมัดระวัง
- เมื่อพบเครื่องหมายนี้ ผู้ขับขี่ควรขับรถให้ช้าลง ทางข้างหน้าเป็นทางโค้งรัศมีแคบไปทางขวา
- เมื่อพบเครื่องหมายนี้ ผู้ขับขี่ควรขับรถให้ช้าลง และเพิ่มความระมัดระวัง
- เมื่อพบเครื่องหมายนี้ ผู้ขับขี่ควรขับรถให้ช้าลง และเพิ่มความระมัดระวัง ทางข้างหน้ามีทางโทแยกไปทางซ้าย
- เมื่อพบเครื่องหมายนี้ ผู้ขับขี่ควรขับรถให้ช้าลง และเพิ่มความระมัดระวัง ทางข้างหน้ามีทางโทแยกไปทางขวา
- เครื่องหมายนี้ หมายความว่า ทางโทแยกทางเอกเยื้องกัน เริ่มซ้าย
- เครื่องหมายนี้ หมายความว่า ทางโทแยกทางเอกเยื้องกัน เริ่มขวา
- เครื่องหมายนี้ หมายถึงทางโทเชื่อมทางเอกจากซ้าย
- เครื่องหมายนี้ หมายถึงทางโทเชื่อมทางเอกจากขวา
- เครื่องหมายนี้ หมายความว่า ทางโทแยกทางเอกจากซ้าย รูปตัววาย
- เครื่องหมายนี้ หมายความว่า ทางโทแยกทางเอกจากขวา รูปตัววาย
- เครื่องหมายนี้ หมายความว่า ทางข้างหน้าจะเป็นทางแยก มีวงเวียน
- เครื่องหมายนี้ หมายความว่า ทางข้างหน้าแคบลงกว่าทางที่กำลังผ่านทั้งสองด้าน
- เครื่องหมายนี้ หมายความว่า ทางแคบด้านซ้าย
- เครื่องหมายนี้ หมายความว่า ทางแคบด้านขวา
- เมื่อพบเครื่องหมายนี้ ผู้ขับขี่ควรขับรถให้ช้าลง และระมัดระวัง อันตรายจากรถที่สวนมาจากอีกฝั่งหนึ่งของสะพาน
- เครื่องหมายนี้ หมายความว่า ช่องจราจรปิดด้านซ้าย
- เครื่องหมายนี้ หมายความว่า ช่องจราจรปิดด้านขวา
- เมื่อพบเครื่องหมายนี้ ผู้ขับขี่ควรขับรถให้ช้าลง และสังเกตดูรถไฟทั้งทางขวาและทางซ้าย ถ้ามีรถไฟกำลังจะผ่าน ควรหยุดรถห่างจากทางรถไฟอย่างน้อย 5 เมตร
- เมื่อพบเครื่องหมายนี้ ผู้ขับขี่ควรขับรถให้ช้าลงและพร้อมที่จะหยุดรถ
- เมื่อพบเครื่องหมายนี้ ผู้ขับขี่ควรขับรถให้ช้าลง และเพิ่มความระมัดระวัง รถมีขนาดกว้างไม่เกิน 2.50 เมตร ให้ผ่านไปได้
- เมื่อพบเครื่องหมายนี้ ผู้ขับขี่ควรขับรถให้ช้าลง และเพิ่มความระมัดระวัง รถที่มีความสูงไม่เกิน 2.50 เมตรให้ผ่านไปได้
- เมื่อพบเครื่องหมายนี้ ผู้ขับขี่ควรขับรถให้ช้าลง และระมัดระวังอันตรายจากรถที่สวนมา เพราะทางข้างหน้าเป็นทางลาดชันทางขึ้นเขา
- เครื่องหมายนี้ คือเครื่องหมายทางลงลาดชัน
- เมื่อพบเครื่องหมายนี้ ผู้ขับขี่ควรขับรถให้ช้าลง เพิ่มความระมัดระวัง ทางข้างหน้าขรุขระมาก เป็นหลุม เป็นบ่อ
- เมื่อพบเครื่องหมายนี้ ผู้ขับขี่ควรขับรถให้ช้าลง และเพิ่มความระมัดระวัง ทางข้างหน้าเป็นแอ่ง
- เมื่อพบเครื่องหมายนี้ ผู้ขับขี่ควรปฏิบัติอย่างไรขับรถให้ช้าลง และระมัดระวังการลื่นไถล ทางข้างหน้าลื่นอาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
- เมื่อพบเครื่องหมายนี้ ผู้ขับขี่ควรขับรถให้ช้าลง และระมัดระวังอันตราย ทางข้างหน้าอาจมีวัสดุผิวทางหลุดกระเด็น
- เมื่อพบเครื่องหมายนี้ ผู้ขับขี่ควรขับรถให้ช้าลง และเพิ่มความระมัดระวังทางข้างหน้าอาจมีหินร่วงลงมาในผิวทาง ทำให้กีดขวางการจราจร
- เครื่องหมายนี้ คือเครื่องหมายสะพานเปิดได้
- เครื่องหมายนี้ หมายความว่าเปลี่ยนช่องเดินรถตามสัญลักษณ์ในป้าย
- เมื่อพบเครื่องหมายนี้หมายถึง ผู้ขับขี่ควรขับขี่บนทางขนานเตรียมตัวเข้าทางหลัก
- เมื่อพบเครื่องหมายนี้หมายถึง ผู้ขับขี่ควรผู้ขับขี่บนทางหลักเตรียมตัวออกทางขนาน ผู้ขับขี่บนทางขนานระวังรถที่จะมาร่วมในทิศทางเดียวกัน
- เมื่อพบเครื่องหมายนี้ ผู้ขับขี่ควร ขับรถให้ช้าลง และระมัดระวังทางข้างหน้าอาจมีรถเข้ามาร่วมในทิศทางเดียวกันจากทางซ้าย
- เมื่อพบเครื่องหมายนี้ ผู้ขับขี่ควรขับรถให้ช้าลง และระมัดระวังทางข้างหน้าอาจมีรถเข้ามาร่วมในทิศทางเดียวกันจากทางขวา
- เมื่อพบเครื่องหมายนี้ ผู้ขับขี่ควรขับรถชิดไปด้านซ้ายด้วยความระมัดระวัง
- เมื่อพบเครื่องหมายนี้ ผู้ขับขี่ควรขับรถให้ช้าลง และชิดซ้าย เพิ่มความระมัดระวังทางข้างหน้าเป็นทางร่วมไม่มีเกาะ
- เครื่องหมายนี้หมายถึง ทางข้างหน้ามีที่กลับรถด้านขวา
- เครื่องหมายนี้หมายถึง ทางข้างหน้ามีที่กลับรถด้านซ้าย
- เครื่องหมายนี้หมายถึง ขับรถให้ช้าลง เดินรถใกล้ขอบทางด้านซ้ายและระมัดระวังอันตรายจากรถที่สวนทางมา
- เมื่อพบเครื่องหมายนี้ ผู้ขับขี่ควรขับรถให้ช้าลง และพร้อมที่จะปฏิบัติตามสัญญาณไฟจราจร
- เมื่อพบเครื่องหมายนี้ ผู้ขับขี่ควรขับรถให้ช้าลงระมัดระวังคนข้ามทาง เพราะทางข้างหน้ามีทางสำหรับคนข้าม ซึ่งมีคนเดินข้ามไปข้ามมาอยู่เสมอ
- เมื่อพบเครื่องหมายนี้ ผู้ขับขี่ควรขับรถให้ช้าลง และเตรียมพร้อมที่จะให้ทางแก่รถด้านหน้าเมื่อถึงป้ายให้ทาง
- เมื่อพบเครื่องหมายนี้ ผู้ขับขี่ควร ขับรถให้ช้าลง ระมัดระวังคนข้ามทาง
- เมื่อพบเครื่องหมายนี้ ผู้ขับขี่ควรขับรถให้ช้าลง ระวังเด็กนักเรียน ถ้าเป็นเวลาที่โรงเรียนกำลังสอนควรงดใช้เสียงสัญญาณ
- เมื่อพบเครื่องหมายนี้ ผู้ขับขี่ควร ขับรถช้าลง และเพิ่มความระมัดระวัง ทางข้างหน้าอาจมีสัตว์ข้ามทาง
- เครื่องหมายนี้ คือเครื่องหมายระวังเครื่องบิน บินต่ำ
- เมื่อพบเครื่องหมายนี้ ผู้ขับขี่ควรขับรถให้ช้าลง และเพิ่มความระมัดระวังทางข้างหน้าอาจมีอันตรายเช่น เกิดอุบัติเหตุทางทรุด
- เครื่องหมายนี้ หมายถึง เขตห้ามแซง
- เมื่อพบเครื่องหมายนี้ ผู้ขับขี่ควรขับรถให้ช้าลง
- เครื่องหมายนี้ คือเครื่องหมาย สลับกันไป
- เครื่องหมายนี้ หมายถึง ทางข้างหน้าเป็นทางโค้งไปทางขวา
- เมื่อพบเครื่องหมายนี้ ผู้ขับขี่ควร ขับรถให้ช้าลง และระมัดระวังทางข้างหน้าเป็นทางคดเคี้ยวโดยเริ่มไปทางขวา
หมวด ป้ายแนะนำ
- เครื่องหมายนี้ หมายถึง เริ่มต้นทางด่วน (ทางหลวงพิเศษ)
- เมื่อพบเครื่องหมายนี้ แสดงว่าทางข้างหน้ามีที่กลับรถ ผู้ขับขี่สามารถกลับรถได้
บริเวณที่มีป้าย "จุดกลับรถ"
- เมื่อพบเครื่องหมายนี้ ผู้ขับขี่ควรขับรถให้ช้าลงและระมัดระวังคนข้ามทาง
ถ้ามีคนกำลังเดินข้ามทางควรหยุดให้คนเดินข้ามทาง
- การขับรถเข้าวงเวียนที่ไม่มีสัญญาณไฟจราจรควรให้รถทางขวามือของเราที่อยู่ในวงเวียนไปก่อน
- การขับรถเลี้ยวบริเวณทางแยกที่มีช่องจราจรมากกว่า 2 ช่องทาง ท่านต้องขับอยู่ในช่องจราจรเดิมตั้งแต่เริ่มเข้าทางแยกจนเลี้ยวเสร็จสิ้น
- นกรณีที่ท่านขับรถผ่านซอยที่มีรถรอออกจากซอยเป็นจำนวนมาก ท่านควรเปิดทางให้รถออกจากซอยโดยสลับกับรถทางตรง
- ทัศนคติและจิตสำนึกในการขับรถอย่างปลอดภัยคือ ขับรถอย่างมีสติเคร่งครัดวินัยจราจรแสดงออกถึงมารยาทและน้ำใจ
- เมื่อได้รับสัญญาณไฟเขียวให้ขับเคลื่อนรถไปได้ ผู้ขับรถไม่ควรบีบแตรเร่งรถคันหน้าให้เคลื่อนตัวออกโดยเร็ว
- เมื่อได้รับสัญญาณไฟเหลือง ผู้ขับรถควรชะลอรถและหยุดรถที่เส้นขาวให้หยุดรถ เพื่อป้องกันการขับฝ่าสัญญาณไฟแดง
- เมื่อเห็นคนยืนบนฟุตบาทและแสดงท่าที่จะข้ามถนนตรงทางม้าลาย ผู้ขับรถควรแตะเบรกเตือนให้รถหลังรู้ว่าท่านกำลังจะหยุดรถ และหยุดรถตรงทางม้าลาย
- เมื่อขับรถเข้าสู่ทางร่วมทางแยก ท่านต้องให้สัญญาณไฟทุกครั้งที่ต้องการเลี้ยวซ้ายหรือขวา
- เพื่อความปลอดภัยของชีวิต คนขับรถและผู้โดยสารทุกคน ทั้งผู้ใหญ่และเด็กที่นั่งตอนหน้าและตอนหลังรถต้องคาดเข็มขัดนิรภัย ขณะโดยสารไปในรถยนต์ตลอดเวลา
- การแซงรถอย่างปลอดภัยและไม่เสียมารยาท ผู้ขับรถควรให้สัญญาณไฟก่อนแซง เร่งความเร็วแซงขึ้นไป เว้นระยะห่างก่อนให้สัญญาณไฟขอกลับเข้าช่องจราจรเดิม เร่งความเร็วให้เหมาะสมกับรถที่อยู่ด้านหน้า
- เมื่อผู้ขับรถคันอื่นให้สัญญาณไฟขอเข้าใช้ช่องจราจรร่วมกับท่าน ท่านควรให้สัญญาณตอบรับโดยชะลอความเร็ว เว้นระยะให้รถคันนั้นสามารถเปลี่ยนช่องจราจรเข้ามาได้อย่างปลอดภัย
- เมื่อขับรถในช่องจราจรขวาสุด และมีรถด้านหลังขับขึ้นมาด้วยความเร็วสูง ท่านควรให้สัญญาณไฟเลี้ยวซ้ายและเปลี่ยนไปยังช่องจราจรด้านซ้าย เพื่อให้รถที่มีความเร็วสูงกว่ารถของท่านแซงขึ้นไปอย่างปลอดภัย
- เมื่อผู้ขับรถคันอื่นเปิดทางให้ท่านไปก่อนหรือเข้าร่วมใช้ช่องจราจรด้วย ท่านควรก้มหัวขอบคุณ พร้อมกับเคลื่อนรถออกไปหรือเข้าร่วมใช้ช่องจราจรที่ขอเข้าร่วมด้วยความระมัดระวัง
- การขับรถจี้ท้ายรถด้านหน้าที่ขับช้า พร้อมกับบีบแตรไล่เป็นพฤติกรรมที่ไร้มารยาทและอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้
- การใช้ไฟสูงที่ถูกต้องและไม่เสียมารยาท ท่านควรเปิดไฟสูงเพื่อตรวจสอบสภาพถนนและริมถนน เฉพาะเส้นทางที่มืดมากและไม่มีรถวิ่งอยู่ด้านหน้าหรือสวนทางมา และปิดไฟสูงทันทีที่มีรถวิ่งอยู่ด้านหน้าหรือสวนทางมา
- การกระทำที่แสดงถึงความมีมารยาทและน้ำใจให้แก่ผู้ใช้ถนนร่วมกัน คือ ไม่หยุดรถบนเส้นทแยงสีเหลืองหรือบริเวณปากซอยและเปิดทางให้รถในเส้นทางอื่นสามารถขับรถผ่านไปได้ในขณะที่รถท่านติดการจราจร
- เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้รถใช้ถนนร่วมกัน ผู้ขับขี่ที่มีจิตสำนึกความปลอดภัยและมีมารยาทที่ดี ควรกลับรถที่จุดกลับรถทุกครั้งแม้จะอยู่ไกล การกลับรถที่จุดกลับรถทุกครั้งแม้จะอยู่ไกล เป็นพฤติกรรมที่ถูกต้องและแสดงมารยาทที่ดีของผู้ขับรถยนต์
- เมื่อขับรถเข้าเขตชุมชนที่มีการจราจรติดขัด ผู้ขับรถควรขับช้าๆ โดยระมัดระวังคนเดิน ใช้แตรเมื่อจำเป็นเพื่อเตือนคนเดินถนนหรือรถคันอื่นเท่านั้น
- ในขณะที่ท่านขับรถและสังเกตเห็นว่าด้านหน้ามีผู้กำลังจะข้ามถนน ท่านต้องลดความเร็วและหยุดรถด้วยความปลอดภัย เพื่อให้คนข้ามถนน
- หากมีผู้ขับรถกำลังกลับรถเข้ามาในช่องทางที่ท่านขับรถอยู่ ท่านควรมีใจกรุณาโอบอ้อมอารีให้ทางแก่ผู้กลับรถ
- ในการขับรถช่วงเวลากลางคืน ท่านควรเปิดไฟต่ำเมื่อมีรถอยู่ด้านหน้าและรถสวนทางมา
- เมื่อขับรถผ่านช่วงทางโค้ง ทางร่วม ทางแยก ในช่วงเวลากลางคืน ก่อนเข้าโค้งท่านควรกะพริบไฟ และลดเป็นไฟต่ำเมื่อมีรถสวนทาง
- เมื่อขับขี่รถผ่านชุมชน โรงเรียน หรือสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน ท่านควรชะลอความเร็ว และใช้ความระมัดระวังในการขับขี่
- หากในขณะขับรถ ท่านสังเกตเห็นรถโดยสารสาธารณะ รถบรรทุกหรือรถอื่นๆ ที่ผู้ขับรถมีพฤติกรรมขับรถประมาท น่าหวาดเสียวและอาจจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ ท่านควรชะลอรถให้ห่างจากรถคันดังกล่าว และแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยด่วน
- การขับรถจี้ท้าย และบีบแตรไล่บนทางด่วนเป็นการขับขี่ที่ไร้ซึ่งมารยาทอย่างมาก
- การขับรถในขณะที่อ่อนเพลีย ง่วงนอน หรือดื่มสุรา เป็นการขับขี่รถที่ไร้ซึ่งจิตสำนึก
- การขับขี่รถให้เกิดความปลอดภัย ท่านต้องไม่ประมาท มีวินัย และเคารพในกฎจราจร
- การขับรถบนทางด่วนที่ถูกต้อง เหมาะสม ท่านไม่ควรขับรถเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด
- ผู้ขับขี่รถที่ดี ต้องขับขี่รถโดยมีใบขับขี่ที่ถูกต้อง และปฏิบัติตามกฎจราจร
- เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่เกิดจากสภาพรถชำรุด ท่านต้องให้ความสำคัญกับการตรวจเช็กรถตามคู่มือประจำรถ
- ผู้ขับขี่ที่มีจิตสำนึกความปลอดภัยควรเตรียมความพร้อมทั้งรถและคนก่อนออกเดินทาง
- การขับรถในช่วงเวลาที่ฝนตกหนักท่านควรลดความเร็ว ขับอย่างระมัดระวัง เปิดไฟหน้ารถและที่ปัดน้ำฝน
- การขับรถในทางขึ้นเขา ลงเขา และมีโค้งอันตรายอยู่ตลอดทาง ท่านต้องใช้ความเร็ว และเกียร์ ให้ถูกต้องและเหมาะสม
- ก่อนใช้รถท่องเที่ยวในระยะทางไกลๆ ท่านควรศึกษาเส้นทาง นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- หากมีผู้ขับรถจี้ท้ายรถท่านในช่องทางขวาสุดและบีบแตรไล่หลังทั้งที่ช่องทางด้านซ้ายก็ว่างอยู่ ท่านควรขับรถหลีกทาง โดยเบี่ยงไปทางช่องทางด้านซ้ายอย่างระมัดระวัง
- ขณะที่รถติด และรถด้านหน้ารถท่านได้ตัดสินใจใช้ช่องทางไหล่ทางด้านซ้าย และมีรถอื่นแล่นตาม ท่านควรขับรถในช่องทางเดิม
- การขับรถด้วยความเร็วไม่เกินที่กำหนด และแซงในกรณีที่จำเป็นต้องแซงเท่านั้น ถือเป็นพฤติกรรมที่ควรปฏิบัติเมื่ออยู่บนถนน
- ในขณะที่ท่านขับรถบนทางหลวง ใช้ความเร็วตามกฎหมายกำหนด อยู่ในเลนขวาสุด มีรถวิ่งตามมาด้วยความเร็วสูง หรือกะพริบไฟสูงจากทางด้านหลังของท่านเพื่อขอทาง ท่านควรเปิดทางหลบให้รถดังกล่าวแซงขึ้นไป โดยเปิดไฟเลี้ยวซ้าย แล้วค่อยๆเบนรถเข้าเลนซ้ายหรือเลนกลาง
- การเร่งรีบขับขี่ เพื่อให้ถึงปลายทางก่อนที่จะมืด เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูง
- เมื่อมีผู้อื่นแบ่งปันน้ำใจในการใช้รถใช้ถนนให้ ท่านไม่ควรเปิดไฟสูงแสดงการขอบคุณ ท่านสามารถแสดงความขอบคุณได้โดยโค้งศรีษะ ยกมือขวาขึ้นระดับคิ้ว หรือส่งยิ้มให้
- ในกรณีที่ท่านขับรถผิดกฎหมาย ผิดกฎจราจร หรือก่อความเดือดร้อนให้แก่ผู้ขับขี่รถอื่น ท่านควรยกมือขวาขึ้นระดับคิ้วพร้อมโค้งศรีษะ เพื่อสื่อให้รู้ว่าทำผิดและขอโทษ
- การบังคับตัวเองให้ปฏิบัติตามกฎจราจรตลอดเวลาที่ขับขี่ โดยไม่ต้องรอให้ตำรวจจราจรบังคับ เป็นการแสดงถึงจิตสำนึกความปลอดภัยของผู้ขับขี่
- ในขณะที่ท่านขับรถอยู่บนถนนและมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นด้านหน้า ท่านไม่ควรขับรถเข้าไปใกล้ที่เกิดเหตุแล้วเหยียบเบรกอย่างรุนแรงเพื่อหยุดรถในทันที แต่ควรให้สัญญาณไฟเบรก ชะลอเบรกให้เหมาะสม เหยียบเบรกค้างให้รถด้านหลังทราบ
- การแซงรถคันหน้าได้แล้วปาดหน้าชิดซ้ายทันที เป็นการแซงที่ไม่ปลอดภัยและแสดงถึงความไร้มารยาทของผู้ขับขี่รถ
- เมื่อรถที่ขับตามหลังมาให้สัญญาณขอแซง มารยาทที่ดีเพื่อแสดงการตอบรับว่ายินยอมให้แซง คือ ให้สัญญาณไฟเลี้ยวซ้าย
- ผู้ขับรถที่มีจิตสำนึกความปลอดภัย เมื่อขับรถถึงทางร่วมทางแยก จะชะลอความเร็วทุกครั้ง ไม่ว่าจะมีสัญญาณไฟจราจรหรือไม่
- ในขณะที่ท่านกำลังขับรถอยู่บนถนน และสังเกตเห็นว่าเบื้องหน้ามีคนกำลังข้ามถนน โดยไม่มีทางม้าลาย ท่านควรชะลอความเร็วแล้วหยุดให้ข้าม
- หลังจากประสบอุบัติเหตุและรอดชีวิตมาได้ น.ส.ชี เกิดจิตสำนึกความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนและได้ศึกษาหาความรู้หลักการขับขี่ปลอดภัยอยู่เสมอ
- เมื่อขับรถในทางเลี้ยวไม่ว่าจะอยู่เลนไหน โดยมารยาทเลี้ยวแล้วต้องรักษาแนวให้อยู่ในเลนนั้นก่อน เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วจึงจะเปลี่ยนเลนได้
- ผู้ขับขี่ควรใช้แตรเพื่อป้องกันอันตรายหรืออุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นจากรถ
- การใช้โทรศัพท์มือถือในขณะขับรถ จะก่อให้เกิดอุบัติเหตุสูงกว่าการเปิดวิทยุฟังเพลงหรือพูดคุยกับคนที่อยู่ในรถ
- มารยาทในการขับขี่ที่ผู้ขับรถควรกระทำคือหยุดรถให้คนข้ามถนนบริเวณทางม้าลาย
- ความประมาทเป็นบ่อเกิดแห่งความตาย เป็นสำนวนที่ใช้เตือนใจผู้ขับขี่เพื่อให้เกิดความปลอดภัย
- ผู้ใช้รถใช้ถนน ทั้งคนขับ ผู้โดยสารและคนเดินเท้าควรได้รับการปลูกฝังจิตสำนึกความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนเพื่อให้เกิดความปลอดภัยทุกคน
- เมื่อเห็นคนเดินเท้าข้ามถนนผู้ขับขี่ควรหยุดรถให้คนเดินเท้าผ่านไปก่อน
- เมื่อเกิดอุบัติเหตุและมีผู้บาดเจ็บ ผู้ขับขี่ควรให้ความช่วยเหลือผู้บาดเจ็บเป็นอันดับแรก
- การขับรถทิ้งระยะห่างจากรถคันหน้ามากเกินไป จะทำให้เกิดปัญหาการจราจรติดขัดได้
- การหยุดรถให้คนข้ามถนนในบริเวณที่มีคนข้ามเป็นการขับรถที่ถูกต้องทั้งกฎจราจรและมารยาทในการขับรถ
- การขับรถด้วยความเร็วสูงในที่ที่มีการจราจรพลุกพล่าน เป็นสิ่งที่ผู้ขับขี่ไม่ควรปฎิบัติ
- การเปลี่ยนช่องทางจราจรที่ถูกต้องปลอดภัย ผู้ขับขี่ต้องดูกระจกมองข้าง เปิดสัญญาณไฟแล้วเปลี่ยนช่องทางเมื่อเห็นว่าปลอดภัย
- การไม่หยุดรถให้คนข้ามทางเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายจราจรและแสดงถึงความไร้น้ำใจ
- ผู้ขับขี่รถเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุทางถนนมากที่สุด รองลงมาคือสภาพรถ สภาพถนนและสิ่งแวดล้อม
- การขับรถเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดเป็นพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุมากที่สุด
- การขับช้าชิดขวา เป็นพฤติกรรมการขับขี่ที่ไม่ควรกระทำ เพราะอาจก่อให้เกิดปัญหาอุบัติเหตุและการจราจรติดขัด
- การหยุดรถให้คนข้ามถนนเป็นมารยาทที่ดีในการขับรถ
- การจอดรถขวางหน้าประตูบ้านผู้อื่นโดยปลดเกียร์ว่างและไม่ดึงเบรกมือ เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น ซึ่งอาจทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทขึ้นได้
- การขับรถแซงคันหน้าในระยะกระชั้นชิด เป็นมารยาทที่ไม่ดีในการขับรถยนต์
- คน รถ ถนน สิ่งแวดล้อม เป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุทางถนน
- การเร่งเครื่องก่อนออกรถเป็นพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องและปลอดภัย นอกจากนี้ยังสิ้นเปลืองพลังงานเพิ่มขึ้น
- การขับรถในเวลากลางคืนมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุสูงกว่าในเวลากลางวัน เพราะมีทัศนวิสัยในการมองเห็นที่ไม่ดี
- การวิ่งตามหลังรถคันหน้าโดยคิดว่าสามารถเปิดไฟสูงได้ เพราะไม่มีผลต่อการขับขี่ของรถคันหน้าเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง โดยข้อเท็จจริงแล้ว ไฟสูงจากรถคันหลังจะแยงตาคนขับคันหน้าจนไม่สามารถมองเห็นทางข้างหน้าได้และอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุตามมา
- เมื่อมีปริมาณรถสะสมจำนวนมากบริเวณเชิงสะพานข้ามแยกที่จะต้องขับรถผ่าน ท่านควรขับไปต่อท้ายแถวรถที่ติดสะสมอยู่ ไม่ควรแทรกเข้าใกล้เชิงสะพาน
- เมื่อขับรถในเส้นทางที่มืดมาก ท่านสามารถใช้ไฟสูงเพื่อส่องดูป้ายบอกทางหรือทางข้างหน้าได้เป็นครั้งคราว
- เมื่อจำเป็นต้องจอดรถขวางทางคันอื่น ท่านควรปลดเกียร์ว่าง ไม่ใช้เบรกมือ
- การขว้างกระป๋องเครื่องดื่มออกนอกตัวรถขณะรถแล่น เป็นพฤติกรรมที่ไร้จิตสำนึกและอาจก่อให้เกิดอันตรายกับผู้ใช้รถใช้ถนนเป็นอย่างมาก
- หากพบรถฉุกเฉินเปิดสัญญาณเสียงไซเรนกำลังวิ่งตามหลัง ผู้ขับขี่ควรเปลี่ยนช่องจราจรไปทางด้านซ้ายทันทีเมื่อปลอดภัย
- การใช้สัญญาณแตรเตือนผู้อื่นให้ระมัดระวังอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากรถ เป็นการกระทำที่ถูกต้อง
- จากรูปข้างล่าง หากท่านกำลังขับขี่เข้าสู่บริเวณทางม้าลายท่านควรลดความเร็วลง
- จากรูปข้างล่าง รถคันสีแดงควรรอจนกว่าคนเดินเท้าจะเดินผ่านไปแล้วจึงเลี้ยว
- จากรูปข้างล่าง รถคันสีเหลืองควรเลี้ยวซ้ายแล้วกลับรถที่จุดกลับรถ
- จากรูปข้างล่าง เมื่อท่านต้องการที่จะเลี้ยวซ้ายเข้าซอย ท่านควรหยุดรอ
- จากรูปข้างล่าง รถที่อยู่บริเวณทางม้าลาย ควรหยุดรถก่อนถึงทางม้าลาย
- จากรูปข้างล่าง เมื่อรถคันสีเหลืองต้องการที่จะขับตรงไป ควรหยุดรอจนกว่ารถข้างหน้าจะผ่านไป
- การขับขี่ออกจากซอยไปสู่ถนนใหญ่ ท่านควรหยุดรอให้รถในทางหลักและคนเดินเท้าไปก่อน
- จากรูปข้างล่าง ในขณะสัญญาณไฟเขียว หากท่านต้องการจะเลี้ยวขวา แต่ท่านได้ยินสัญญาณรถดับเพลิงมาทางขวามือของท่าน ท่านควรรอให้รถดับเพลิงไปก่อนจึงเลี้ยว
- จากรูปข้างล่าง ในขณะสัญญาณไฟเขียว หากท่านต้องการจะขับตรงไป แต่ท่านได้ยินสัญญาณรถพยาบาลมาทางขวามือของท่าน ท่านควรหยุดรอรถพยาบาลไปก่อน
- การจอดรถซ้อนสองดังรูปข้างล่าง แม้เป็นเพียงการจอดชั่วคราว ก็ไม่สามารถจอดได้ เป็นพฤติกรรมที่ผิดกฎหมายจราจร สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ขับขี่อื่น ก่อให้เกิดอุบัติเหตุและการจราจรติดขัด
- เมื่อท่านได้ยินเสียงสัญญาณไซเรนของรถฉุกเฉิน ท่านต้องพยายามเบี่ยงรถของท่านอย่าให้ขวางทางรถฉุกเฉิน
- เมื่อรถที่กำลังทำการแซงเปิดไฟเลี้ยวเพื่อเข้าสู่ช่องจราจรของท่าน ท่านควรลดความเร็วลง
- จากสถานการณ์ดังรูปข้างล่าง ผู้ขับขี่ควรหยุดรถให้รถที่เปิดสัญญาณไฟเลี้ยวขวาไปก่อน
- นักขับขี่รถที่มีวินัยจราจรและมีมารยาทที่ดีจะให้สัญญาณไฟทุกครั้งที่เปลี่ยนช่องจราจร
- หากเห็นคนพิการกำลังข้ามถนน ผู้ขับขี่ควรหยุดรอให้คนพิการข้ามผ่านทางไปก่อน
- การเร่งความเร็วเมื่อมีรถแซงมาขนาบข้าง เป็นพฤติกรรมที่ไร้น้ำใจ เสียมารยาทและอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุที่ร้ายแรงขึ้นได้
- นักขับขี่รถที่มีวินัยจราจรและมีมารยาทที่ดีจะพยายามจอดรถโดยไม่กีดขวางผู้อื่นและไม่ฝ่าฝืนกฎจราจร
- เมื่อมีรถคันหลังกำลังแซงรถของท่าน ท่านไม่ควรเร่งความเร็วเพื่อไม่ให้แซง
- การโทรศัพท์ขณะขับรถ จะทำให้สมาธิในการขับรถลดลง
- รูปที่ 2 และ 3 ด้านล่าง เป็นการรัดเข็มขัดนิรภัยที่ไม่ถูกต้อง
- ผู้ขับขี่ที่ดีควรศึกษาเส้นทางก่อนออกเดินทาง เตรียมสภาพรถและร่างกายให้พร้อม มีความรู้เกี่ยวกับกฎหมายจราจรและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
- ผู้ขับขี่ไม่ควรเปิดไฟสูงขณะรถสวนกัน หรือขับตามหลังรถคันอื่นหรือเพื่อไล่รถคันหน้า เพราะไฟจะส่องไปเข้าตาผู้ขับคันนั้นทำให้มองไม่เห็นถนน หรืออาจตกใจขับเปลี่ยนเลนหรือเร่งเครื่องหนี ซึ่งอาจก่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้
- การหยุดรถให้คนข้ามถนนในบริเวณที่มีคนข้ามเป็นการขับรถที่ถูกต้องทั้งกฎจราจรและมารยาทในการขับรถ
- ผู้ขับขี่ไม่ควรขับรถด้วยความเร็วสูงในที่ที่มีการจราจรพลุกพล่าน
- ก่อนเปลี่ยนช่องทางจราจร ผู้ขับขี่ควรดูกระจกมองข้าง เปิดสัญญาณไฟแล้วเปลี่ยนช่องทางเมื่อเห็นว่าปลอดภัย
- ผู้ขับขี่รถควรมีมารยาทในการจอดรถ โดยไม่จอดกีดขวางผู้อื่นและไม่ฝ่าฝืนกฎจราจร
- การใช้ไฟสูงหรือไฟขอทางเพื่อไล่รถคันหน้าเป็นการขับรถที่ไร้มารยาท อาจก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาทและอุบัติเหตุขึ้นได้
- รถทุกคันต้องวิ่งตามความเร็วที่กฎหมายกำหนด
- ขับรถที่ดีควรมีความรับผิดชอบ มองโลกในแง่ดี มีความอดทนอดกลั้นและให้อภัยผู้ใช้รถใช้ถนนอื่นเสมอ
- อุบัติเหตุบนท้องถนนส่วนใหญ่เกิดจากผู้ขับขี่ รองลงมาคือรถ ถนนและสิ่งแวดล้อม
- การขับรถขณะฝนตก ผู้ขับขี่ไม่ควรเปิดไฟฉุกเฉินตลอดเส้นทาง
- เมื่อเกิดรถเสีย ควรนำรถจอดเข้าข้างทาง เปิดไฟฉุกเฉิน
- สัญญาณเตือนบนแผงหน้าปัดรถสีแดง ไม่ควรปรากฏขณะขับรถ
- การจับพวงมาลัยรถ นิ้วมือทั้งห้าต้องจับพวงมาลัยให้กระชับ สามารถหมุนได้คล่องตัว
- เมื่อผู้ขับขี่ขับรถเสียหลักบนถนนเปียกลื่น ควรถอนคันเร่ง จับพวงมาลัยให้มั่นประคองรถต่อไป
- หากเครื่องยนต์ดับขณะขับรถขึ้นทางลาดชัน ให้เหยียบเบรก ดึงเบรกมือ เข้าเกียร์ว่าง และติดเครื่องใหม่
- หากกระจกบังลมหน้ารถแตกร้าวขณะขับรถ ให้ตั้งสติ ลดความเร็ว จอดรถข้างทาง เปิดไฟฉุกเฉิน
- การขับรถช่วงฤดูฝน ควรตรวจสอบที่ปัดน้ำฝนก่อนเป็นลำดับแรก. การเปิดไฟหน้ารถเมื่อต้องเร่งรีบไปทำงาน
เป็นพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง
- หากขณะขับรถ มีกลิ่นเหม็นไหม้ แอร์เริ่มไม่เย็น เครื่องยนต์เร่งไม่ขึ้น ควรจอดรถในที่ปลอดภัยแล้วเรียกช่างมาตรวจเช็ค
- การหยุดรถบนทางลาดชันอย่างปลอดภัย ให้เหยียบคลัทช์ เหยียบเบรก ดึงเบรกมือ และปลดเกียร์ว่าง
- การหมุนพวงมาลัยรถขณะจอดรถอยู่กับที่ จะส่งผลให้ดอกยางสึกเร็วกว่าปกติ
- การหยุดรถอย่างกะทันหัน (รถไม่ใช้เบรก ABS) ให้เหยียบและปล่อยเบรกสลับกัน (ย้ำเบรกซ้ำๆ)
- รถที่ขับมาด้วยความเร็วสูงแล้วเหยียบเบรกอย่างกะทันหัน (รถไม่ใช้เบรก ABS) จะส่งให้ล้อจะล็อค และรถจะหมุน
- หากยางรถแตกขณะขับรถ พวงมาลัยรถจะหนักและรถจะเอียง
- หากยางรถแตกหรือระเบิดขณะขับรถ ให้คุมสติ บังคับพวงมาลัย ลดความเร็วลง และไม่ควรเหยียบเบรกกะทันหัน
- หากฝากระโปรงหน้ารถเปิดขณะขับรถ ให้ลดความเร็วแล้วจอดข้างทาง เพื่อปิดฝากระโปรงให้เรียบร้อย
- วิธีแก้ไขเบื้องต้นเมื่อรถเกิดไฟลัดวงจร คือ ตัดกระแสไฟหรือหาทางตัดขั้วแบตเตอรี่ออกก่อน
- การปรับระดับที่นั่งคนขับห่างเกินไป จะส่งผลให้การบังคับพวงมาลัยรถลำบาก ใช้อุปกรณ์ต่างๆ ไม่สะดวก เกิดเหตุฉุกเฉิน ไม่สามารถใช้คลัทช์และเบรกได้
- วิธีการตรวจสอบว่าเข็มขัดนิรภัยยังใช้งานได้ดีหรือไม่ คือ กระตุกดึงสายเข็มขัดอย่างรวดเร็ว แล้วสายเข็มขัดต้องล็อค
- หากรถเสียหลักลื่นไถลพร้อมเสียการทรงตัว ให้ลดความเร็วรถ จับพวงมาลัยให้มั่น
- การจอดรถชิดขอบทาง ล้อหน้าควรอยู่ในลักษณะตรงและขนานกับขอบทางหรือฟุตปาธ
- การเข้าเกียร์ถอยหลังขณะรถยังไม่หยุดนิ่ง มีผลเสียทำให้เข้าเกียร์ยากและทำให้เกียร์เสียเร็วกว่าปกติ
- การขับรถถอยหลัง ให้ถอยอย่างช้าๆ ด้วยความระมัดระวัง
- การสตาร์ทเครื่องยนต์ที่ถูกต้อง คือ ขึ้นเบรกมือ-ปลดเกียร์ว่าง-ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้า-เหยียบคลัทช์-สตาร์ทเครื่องยนต์
- หากเกิดฝนตกหนักจนมองเห็นทางไม่ชัดเจน ให้จอดรถบริเวณที่ปลอดภัย เปิดไฟหน้ารถและเปิดไฟฉุกเฉิน
- การจับพวงมาลัยขณะขับรถทางตรง มือขวาของผู้ขับขี่ควรอยู่ในตำแหน่งเลข 2 และมือซ้ายควรอยู่ในตำแหน่ง เลข 10 ของหน้าปัดนาฬิกา
- เมื่อขับรถในขณะฝนตก ท่านไม่ควรเปิดไฟฉุกเฉินตลอดทาง
- จากรูป หากท่านต้องการที่จะขับตรงผ่านไป ท่านควรลดความเร็วและเพิ่มความระมัดระวังทุกครั้งก่อนถึงทางแยก
- จากรูป หากท่านต้องการที่จะขับตรงผ่านไป ท่านควรชะลอรถและให้รถทางขวามือขับผ่านไปก่อน
- จากรูป หากท่านต้องการที่จะเลี้ยวขวา ท่านควรชะลอรถเนื่องจากรถคันหน้าจะเลี้ยวซ้าย
- จากรูป หากท่านพบเห็นสัญญาณจราจรเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ท่านควรค่อยๆ เหยียบเบรกย้ำๆ เพื่อเตือนรถข้างหลังระวังและเตรียมหยุด
- จากรูป หากท่านต้องการที่จะเลี้ยวซ้าย ท่านควรลดความเร็ว และระมัดระวังรถด้านซ้าย รวมทั้งคนเดิมข้ามถนน
- จากรูป หากท่านต้องการที่จะเลี้ยวซ้าย ท่านควรเปิดสัญญาณไฟเลี้ยว ชะลอรถ หยุดให้คนเดินถนนข้ามทางก่อ
- จากรูป หากท่านต้องการที่จะเลี้ยวขวา ท่านควรหยุดรอในตำแหน่งที่จะเลี้ยวและให้รถด้านตรงข้ามผ่านไปก่อน
- จากรูป หากท่านต้องการที่จะเลี้ยวขวา ท่านควรเปิดสัญญาณไฟเลี้ยว ชะลอรถ หยุดให้คนเดินถนนข้ามทางก่อน
- จากรูป หากท่านต้องการขับตรงไป ท่านควรลดความเร็วลง และให้ทางแก่รถที่เลี้ยวออกมา
- จากรูป รถคัน ค.อยู่ในจุดบอดของรถคันสีขาว
- ผู้ขับขี่จะต้องหันหน้ามองไปทางด้านข้างก่อนทำการเปลี่ยนช่องจราจร เพื่อตรวจดูจุดบอดของรถด้านขวา
- บริเวณที่คนขับไม่สามารถมองเห็นได้ชัดในขณะขับรถ คือความหมายที่ถูกต้องของจุดบอด
- ถ้าเครื่องดับขณะกำลังเคลื่อนที่ออกจากทางลาดชัน ท่านควรทำการเบรกทันทีเพื่อไม่ให้รถไหล
- การขับขี่ขึ้นหรือลงทางลาดชัน ควรใช้เกียร์ต่ำ
- ในการขับขี่ลงทางลาดชัน ผู้ขับขี่ควรใช้เกียร์ต่ำเพื่อหน่วงความเร็วของรถ
- ไม่ควรใช้เบรกอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานในขณะขับขี่ลงทางลาดชันเพราะ จะทำให้ผ้าเบรกไหม้
- ในการขับขี่ลุยน้ำ ผู้ขับขี่ควรลดความเร็วลง แต่เร่งเครื่องยนต์ให้มากกว่าปกติเล็กน้อย
- ขณะขับรถลุยน้ำต้องเร่งเครื่องยนต์มากกว่าปกติเล็กน้อยเพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องยนต์ดับ
- ท่านควรขับช้าๆ ตามหลังรถคันหน้าในระยะห่างพอสมควรขณะขับรถผ่านบริเวณน้ำท่วม
- หลังจากขับรถผ่านบริเวณน้ำท่วม ท่านควรทดสอบระบบเบรก
- ลงทางลาดชันด้วยความปลอดภัย คือประโยชน์สูงสุดของการชะลอรถด้วยเครื่องยนต์ในขณะลงทางลาดชัน
- น้ำฝนจะกลายเป็นแผ่นฟิล์มรองรับระหว่างยางกับพื้นถนน จึงลื่นไถลได้ง่ายขณะฝนตกใหม่ๆ
- การขับรถเร็วและกระแทกเบรกรถอย่างรุนแรง ไม่ควรปฏิบัติเมื่อขับขี่ในขณะฝนตกหนัก
- สำหรับการขับขี่ในเวลากลางคืนควรขับให้ช้ากว่าปกติหรือไม่เร็วกว่าสายตาที่มองเห็น
- หลังจากเกิดอุบัติเหตุ ผู้ขับขี่ต้องให้สัญญาณเพื่อเตือนให้รถอื่นทราบ
- หากมีผู้บาดเจ็บหลังจากเกิดอุบัติเหตุ ท่านควรปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้วรีบนำส่งโรงพยาบาล
- รถจะประหยัดน้ำมันหากขับด้วยความเร็วคงที่
- หากกำลังขับขี่รถอยู่บนถนน แล้วฝนเริ่มตก ผู้ขับขี่ควรลดความเร็วของรถลง
- เมื่อขับรถในเวลากลางคืน ผู้ขับขี่ควรทิ้งระยะห่างระหว่างรถคันหน้าให้มากกว่าปกติ
- ก่อนการขับรถเป็นระยะทางไกลๆ ผู้ขับขี่ควรพักผ่อนให้เพียงพอ
- จากสถานการณ์ดังรูป หากต้องการจะเคลื่อนที่ต่อไป ผู้ขับขี่ควรตรวจสอบความปลอดภัยทางด้านขวา
- เมื่อต้องขับรถเข้าใกล้ทางรถไฟที่ไม่มีแผงกั้น ต้องชะลอรถและควรเตรียมพร้อมที่จะหยุดรถตลอดเวลา
- เมื่อขับผ่านทางที่มีป้ายเตือนว่า “ระวังทางข้างหน้าหินหล่นทับเส้นทางบ่อย” หรือป้ายเตือนดังในรูป ท่านควรชะลอความเร็วลง ขับขี่ด้วยความระมัดระวังมากขึ้น
- เมื่อพบว่าไฟไหม้เครื่องยนต์ขณะขับรถ ผู้ขับรถควรตั้งสติ ค่อยๆ ขับรถจอดข้างทาง
- การบรรทุกน้ำหนักเกินกว่าที่กำหนด ทำให้รถเปลืองน้ำมัน
- ความไม่พร้อมของคนขับมีผลต่อการเกิดสถานการณ์อันตรายมากที่สุด
- การเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าในขณะฝนตกควรมากกว่าการขับรถในสภาวะปกติ เป็นการขับรถอย่างปลอดภัย
- จากรูป หากท่านต้องการแซงรถข้างหน้าแล้วกลับช่องทางเดินรถด้านซ้าย ท่านจะต้องตรวจสอบความปลอดภัยแล้วเปิดสัญญาณไฟเลี้ยวขวาก่อนแซง
- เปิดไฟฉุกเฉินเมื่อรถจอดเสียอยู่บริเวณไหล่ทาง เป็นการใช้ไฟฉุกเฉินได้อย่างเหมาะสม
- รถที่ขับมาด้วยความเร็วสูงแล้วเหยียบเบรกกะทันหัน (รถที่ไม่มีระบบเบรก ABS) จะมีผลทำให้ล้อจะล็อกและรถอาจจะหมุน
- การหยุดรถอย่างกะทันหัน (รถที่ไม่มีระบบเบรก ABS) ควรเหยียบเบรกสลับกับปล่อยเบรกเป็นจังหวะ
- ใช้เบรกมือช่วยเป็นการหยุดรถที่ไม่ถูกต้องในการเบรกฉุกเฉิน
- การจอดรถซ้อนคัน เป็นการจอดรถลักษณะที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุ
- ห้ามจอดตามรูป 2. และรูป 3.
- หากท่านจอดรถชิดขอบทางทางด้านซ้ายอยู่ และต้องการที่จะเคลื่อนตัวออก ท่านควรมองดูรถที่ตามมาผ่านกระจกมองข้างและกระจกมองหลัง จากนั้นเปิดสัญญาณไฟเลี้ยวขวา
- เมื่อฝนเริ่มตกหนักในขณะที่ท่านขับรถอยู่ในเขตที่จำกัดความเร็วไม่เกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ท่านควรชะลอความเร็วลง
- การขับรถชิดคันหน้ามากเกินไป สาเหตุใดต่อไปนี้เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการชนท้าย
- การขับรถทิ้งระยะห่างจากรถคันหน้ามากเกินไป จะเกิดปัญหาการจราจรติดขัด
- เพื่อเป็นการป้องกันอุบัติเหตุ ผู้ขับขี่ต้องทิ้งระยะห่างให้เหมาะสมกับความเร็วของรถ
- เมื่อรถคันหลังขับตามมาในระยะกระชั้นชิด ควรเพิ่มความเร็ว เป็นการขับขี่ที่ไม่ถูกต้อง
- การเปลี่ยนช่องทางจราจร ควรมองกระจกข้าง ให้สัญญาณแล้วเปลี่ยนช่องจราจรเมื่อเห็นว่าปลอดภัย
- หากท่านเห็นรถบรรทุกที่อยู่ข้างหน้าเปิดไฟเลี้ยวซ้ายแต่กำลังเคลื่อนไปทางขวา ท่านควรรักษาระยะห่างไว้และรอให้รถใหญ่เคลื่อนไปในทิศทางที่แน่นอน
- จากรูป รถคันสีเขียว มีสิทธิที่จะได้ไปก่อน
- กรณีที่ท่านเห็นรถคันอื่นให้สัญญาณเพื่อเลี้ยวรถหรือเปลี่ยนช่องทางการเดินรถ ท่านต้องชะลอความเร็วและให้ท
- จากรูป รถคันสีขาวจะต้องให้ทาง
- รูป 3.แสดงการกลับรถที่ถูกต้อง
- การแซงขณะที่รถข้างหลังกำลังจะแซงรถของท่านเป็นการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง
- จากรูป หากรถที่ท่านกำลังจะแซงเปิดสัญญาณไฟเลี้ยวขวา ผู้ขับขี่ควรชะลอความเร็วและรอจนกว่ารถคันหน้าเลี้ยวผ่านไป
- การแซงรถคันหน้าที่เคลื่อนตัวด้วยความเร็วที่ใกล้เคียงกันอย่างถูกต้อง ควรใช้ระยะทางและเวลาในการแซงมากขึ้น
- การเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าในระยะที่ผู้ขับขี่สามารถหยุดรถได้ทัน เป็นการขับรถอย่างปลอดภัย
- หากท่านขับรถด้วยความเร็ว 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแต่ท่านรู้สึกว่าเร็วเกินไป ท่านควรชะลอความเร็วลงจนท่านคิดว่าปลอดภัย
- การเลี้ยวรถที่ทางบังคับเลี้ยว เป็นการขับขี่ในทางลักษณะที่ไม่จำเป็นต้องให้สัญญาณไฟเลี้ยว
- เปิดไฟสูงขณะที่ไม่มีรถสวนทาง เป็นการเปิดไฟสูงในสถานการณ์ที่ถูกต้อง
- เมื่อรถของท่านเสียบริเวณกลางถนน ท่านควรเปิดไฟฉุกเฉินและนำรถจอดเข้าข้างทาง
- เมื่อรถของท่านเสียท่านควรใช้สัญญาณไฟฉุกเฉิน
- การเปิดสัญญาณไฟฉุกเฉินตลอดเวลาเพื่อทำให้ผู้ขับขี่คันอื่นเข้าใจว่าเป็นรถที่ขับเร็ว เป็นการกล่าวที่ไม่ถูกต้อง
- การหยุดรถในขณะฝนตกจะใช้ระยะทางมากกว่าปกติ
- การดื่มสุราก่อนขับรถเป็นปัจจัยที่ทำให้การเบรกด้อยประสิทธิภาพ
- หากท่านจอดรถในทางเดินรถหรือบนไหล่ทางในเวลากลางคืน ท่านต้องเปิดไฟหรี่
- จากรูป เมื่อท่านพบรถประจำทางเปิดไฟเลี้ยวขวาเพื่อออกจากป้ายรถเมล์ ท่านควรชะลอความเร็วและให้รถประจำทางไปก่อน
- จากรูป หากท่านต้องการแซงบนถนนที่มีรถวิ่งสวนมา ท่านต้องหยุดรอให้รถที่ขับสวนมาผ่านไปก่อนแล้วค่อยขับ
- ท่านกำลังขับขี่ผ่านบริเวณที่มีรถจอดอยู่ข้างทาง แต่ท่านสังเกตเห็นลูกบอลกลิ้งออกมา ท่านควรลดความเร็วลงและเตรียมที่จะหยุดรถ
- จากรูป สิ่งที่ถูกต้องเกี่ยวกับการแซง คือรถคันหลังไม่สามารถแซงคันหน้าได้
- เมื่อท่านขับรถเข้าใกล้รถที่จอดอยู่ข้างทาง ท่านควรเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น เตรียมพร้อมที่จะหยุดเสมอ
- เมื่อท่านขับรถเข้าใกล้รถที่จอดอยู่ข้างทาง ท่านควรเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น เตรียมพร้อมที่จะหยุดเสมอ
- ในการขับขี่ท่านควรหลีกเลี่ยงการขับขี่เร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด
- เมื่อท่านขับรถผ่านถนนที่มีน้ำท่วมขังแล้ว ท่านควรใช้เท้าแตะเบรกเพื่อให้ผ้าเบรกแห้งเร็ว
- การขับขี่ผ่านทางร่วมทางแยกต้องปฏิบัติตามสัญญาณไฟจราจรหรือกฎจราจรอย่างเคร่งครัด
- จากรูปรถคันสีเขียวมีสิทธิที่จะผ่านไปก่อน
- จากรูป หากท่านต้องการที่จะเลี้ยวขวาที่ทางแยกรูปตัว T ท่านจะต้องให้ทั้งรถทางขวาและซ้ายไปก่อน
- จากรูป เมื่อท่านขับรถมาถึงทางแยกพบสัญญาณไฟเขียว แต่เกิดจราจรติดขัดในเส้นทางที่ท่านจะสัญจร ท่านควรรอจนกว่ารถข้างหน้าของท่านจะเคลื่อนตัว แล้วจึงขับรถเข้าไปต่อคันหน้า
- จากรูป รถคันสีฟ้าอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม
- จากรูป รถคันสีแดงมีสิทธิไปก่อนเมื่อมีสัญญาณให้หยุดทั้งสองทิศทาง
- หากท่านพบสัญญาณไฟกะพริบสีแดงที่บริเวณทางร่วมทางแยก ท่านต้องหยุดรถหลังเส้นหยุดรถ เมื่อเห็นว่าปลอดภัยจึงขับผ่านไปด้วยความระมัดระวัง
- หากท่านพบสัญญาณไฟกะพริบสีเหลืองที่บริเวณทางร่วมทางแยก ท่านต้องชะลอความเร็วลง และขับผ่านไปด้วยความระมัดระวัง
- จากรูป ในกรณีที่ไม่มีสัญญาณไฟจราจรรถคันสีเหลืองมีสิทธิที่จะได้ไปก่อน
- จากรูป หากรถคันสีแดง และรถคันสีเหลือง สามารถไปได้ในเวลาเดียวกันหากต้องการจะเลี้ยวขวาในเวลาเดียวกั
- การขับด้วยความเร็วที่ต่ำ เป็นการขับขี่ในบริเวณชุมชนที่ถูกต้อง
- ในการขับขี่ภายในชุมชน ผู้ขับขี่ไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับป้ายโฆษณาข้างทาง
- เมื่อขับขี่เข้าใกล้บริเวณทางม้าลายหน้าโรงเรียน ผู้ขับขี่ควรชะลอความเร็วลง
- เมื่อขับรถเข้าใกล้บริเวณทางม้าลาย แต่ไม่มีคนข้ามทางม้าลาย ผู้ขับขี่ควรไม่ต้องให้สัญญาณ เพียงชะลอความเร็วลงก็พอ
- หากท่านกำลังขับขี่เข้าสู่วงเวียน และพบรถขนาดใหญ่ที่กำลังเปิดสัญญาณไฟเลี้ยวซ้ายแต่ตัวรถค่อยๆ เคลื่อนตัวไปทางขวา ท่านควรรักษาระยะห่างไว้
- การขับแซงไปมา เป็นสิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติในการขับขี่ผ่านวงเวียน (การขับขี่ผ่านวงเวียน)
- การลดความเร็วก่อนเข้าโค้ง เป็นการขับรถเข้าทางโค้งอย่างปลอดภัย
- หากรถคันสีเหลืองต้องการมุ่งหน้าตรงผ่านวงเวียน จะต้องเปิดไฟเลี้ยวซ้ายเพื่อออกจากวงเวียนที่ตำแหน่ง จุดที่ 3
- หากท่านกำลังขับตามหลังคนขี่จักรยาน แต่ท่านต้องการที่จะเลี้ยวซ้าย ท่านควรชะลอความเร็วจนกว่าจักรยานจะผ่านทางเลี้ย
- ท่านควรระวังเป็นพิเศษเมื่อพบรถโดยสารจอดอยู่ในถนนฝั่งตรงข้ามผู้เดินเท้าอาจเดินออกมาทางข้างหลังรถโดยสาร
- กรณีที่รถสีน้ำตาลมาจากทางหลักและรถสีน้ำเงินออกมาจากซอยซึ่งเป็นทางรอง รถคันสีน้ำเงินต้องหยุดให้ทาง
- ไม่ควรแซงในทางที่มีทัศนวิสัยไม่ดี ควรประเมินเวลาที่ใช้ในการแซงให้ถูกต้อง แซงในขณะที่เห็นว่าปลอดภัยแล้วเท่านั้น
- เมื่อท่านเห็นสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเหลืองในขณะที่ท่านกำลังจะขับขี่ผ่านทางแยกในเวลาเช้าตรู่ที่ไม่มีการจราจรอยู่ในบริเวณรอบๆ ท่านควรชะลอความเร็วและเตรียมหยุดรถ
- ในขณะที่ท่านกำลังหยุดรอสัญญาณไฟอยู่ที่ทางแยก แล้วไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว ท่านควรตรวจสอบการจราจรรอบๆ ข้างก่อน จากนั้นจึงออกรถ
- จากรูป ผู้ขับขี่รถคันสีแดงควรมองกระจกข้าง ให้สัญญาณ และเปลี่ยนช่องทางเมื่อปลอดภัย
- จากรูป ผู้ขับขี่รถคันสีแดงควรระมัดระวังรถรถจักรยานยนต์มากที่สุด
- ตรวจความพร้อมของรถยนต์ก่อนออกเดินทางทุกครั้ง เป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องตามหลักการขับรถอย่างปลอดภัย
- หลักการขับรถเข้าโค้งที่ถูกต้องควร ลดความเร็วก่อนเข้าโค้ง เพิ่มความเร็วขณะออกจากโค้ง
- เพื่อความปลอดภัยเมื่อออกรถเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้ประมาณ 3-4 เมตร ควรทดสอบระบบเบรกเป็นอันดับแรก
- ข้อควรปฏิบัติขณะขับรถขณะฝนตกคือ เปิดไฟส่องสว่าง
- ถ้าขณะขับรถเกิดยางแตกหรือยางระเบิดควรจับพวงมาลัยให้มั่น แล้วค่อยๆ เบรกและนำรถเข้าข้างทาง
- ในสภาพถนนปกติ รถพร้อม คนพร้อม ขับรถตามรถคันหน้าต้องเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าห่างพอสมควรและสามารถหยุดรถได้โดยปลอดภัย จึงจะปลอดภัยเมื่อรถคันหน้าหยุดกะทันหัน
- ขณะขับรถหากเกิดคันเร่งค้างควรตั้งสติ ใช้ปลายเท้างัดคันเร่งขึ้นมา
- กรณีรถเสียบนทางด่วน ให้เปิดไฟฉุกเฉิน
- การขึ้นและลงเขาให้ใช้เกียร์ต่ำ
- การขับรถอย่างปลอดภัย ต้องไม่ขับรถไปชนคันอื่น ไม่เป็นเหตุให้รถคันอื่นชนกัน ป้องกันไม่ให้รถคันอื่นมาชนเรา
- ห้ามเปิดไฟสูงขณะที่ขับรถตามคันหน้าหรือรถที่วิ่งสวนทางมา เพราะจะทำให้ผู้ขับรถคันหน้าและรถที่วิ่งสวนทางมามองทางไม่ชัดเจน
- การขับรถทางไกลเมื่อรู้สึกว่าตนเองง่วงควร หยุดพัก นอน หรือยืดเส้นยืดสายตามจุดพัก หรือปั๊มน้ำมัน
- การขับรถที่ปลอดภัยในขณะที่ฝนตก ต้องทิ้งช่วงห่างจากรถคันหน้า เผื่อไว้มากๆ เปิดไฟหน้า ใช้อัตราความเร็วที่ปลอดภัย
- การข้ามทางรถไฟรางคู่ที่ไม่มีเครื่องกั้นเมื่อรถไฟผ่านไปแล้วผู้ขับรถควรระวัง รถไฟที่อาจจะสวนทางมาอีกทางหนึ่ง
- การขับรถข้ามทางรถไฟที่ไม่มีเครื่องกั้นเมื่อคันด้านหน้าขับข้ามทางรถไฟไปแล้วท่านควร ตรวจสอบความปลอดภัยอีกครั้งก่อนข้ามทางรถไฟ
- เมื่อท่านขับรถที่มีน้ำหนักบรรทุกมาก ประสิทธิภาพของเบรกจะน้อยลง ระยะเบรกจะยาวขึ้น
- เมื่อท่านขับรถที่บรรทุกสิ่งของที่มีความสูง จุดศูนย์ถ่วงจะสูงขึ้นทำให้พลิกคว่ำได้ง่าย
- ความเหนื่อยล้า สภาพถนนที่เปียก น้ำหนักบรรทุก มีผลต่อระยะการเบรกรถ
- ในการขับรถควรใช้คันเร่งควบคุมในการเร่งและชะลอรถให้มากที่สุด
- เมื่อรถของท่านจอดเสียกลางถนนหลวง ให้เปิดสัญญาณไฟฉุกเฉินพร้อมไฟหน้ารถ ตั้งสัญลักษณ์แสดงว่ามีรถจอดเสียในระยะ 150 เมตร เปิดฝากระโปรงด้านหน้าและท้ายรถ เพื่อส่งสัญญาณ
- ก่อนขับรถ ผู้ขับขี่ที่ดีควรเตรียมความพร้อมของตนเอง โดยการพักผ่อนให้เพียงพอ
- การเตรียมความพร้อมของรถก่อนขับรถ ควรตรวจแรงดันลมยาง,เบรก,น้ำมันหล่อลื่น
- เมื่อเกิดรถเสีย ควรเปิดไฟฉุกเฉิน, นำรถจอดเข้าข้างทาง
- สัญญาณไฟเตือนบนแผงหน้าปัดรถสีแดง เป็นสีที่ไม่ควรปรากฏขณะขับรถ
- การจับพวงมาลัยควรอยู่ในลักษณะที่ นิ้วมือทั้งห้าจับพวงมาลัยให้กระชับ สามารถหมุนได้คล่องตัว
- เมื่อผู้ขับขี่ขับรถเสียหลักบนถนนเปียกลื่น ควรถอนคันเร่ง จับพวงมาลัยให้มั่นประคองรถต่อไป
- ขณะขับรถ ถ้ากระจกบังลมหน้ารถแตกร้าว ควรตั้งสติ เปิดไฟฉุกเฉิน ลดความเร็ว จอดรถข้างทาง
- ขณะฝนตกใหม่ๆ รถมักลื่นไถล เพราะน้ำฝนจะกลายเป็นฟิล์มรองรับระหว่างยางกับพื้นถนน
- ขณะขับรถเมื่อฝนตกหนัก ไม่ควรเบรกรถอย่างรุนแรงและรวดเร็ว
- เพื่อความปลอดภัยในการขับรถช่วงฤดูฝน ควรตรวจสอบที่ปัดน้ำฝนเป็นลำดับแรก
- ในขณะขับรถลุยน้ำ ผู้ขับขี่ควรเร่งเครื่องยนต์ให้มากกว่าปกติเล็กน้อย และควบคุมเครื่องยนต์ไม่ให้ดับ
- หลังจากขับรถลุยน้ำ ผ้าเบรกเปียกมีวิธีแก้ไขให้แห้ง โดยขับรถช้าๆ เหยียบเบรกเบาๆ แล้วปล่อยหลายๆ ครั้ง
- ขณะขับรถลุยน้ำ สาเหตุที่ต้องเลี้ยงคลัตช์และเร่งเครื่องยนต์มากกว่าปกติเล็กน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องยนต์ดับ
- ควรเปิดไฟหน้ารถ เมื่อฝนตกหนัก เมื่อมีควันไฟปกคลุมถนน เมื่อไม่สามารถมองเห็นทางข้างหน้าในระยะต่ำกว่า 150 เมตร
- การขับรถผ่านบริเวณน้ำท่วม ควรขับช้าๆ ตามหลังรถคันหน้าในระยะห่างพอสมควร
- เพื่อความปลอดภัยก่อนขับรถ ผู้ขับขี่ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- ปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุทางถนนมากที่สุด คือผู้ขับขี่รถ
- "นางสมศรีขับรถปฏิบัติตามความพอใจของตัวเอง" เป็นพฤติกรรมการขับรถที่ถือว่าไม่ปลอดภัย
- ก่อนออกรถจากไหล่ทางด้านซ้าย ผู้ขับขี่ต้องมองกระจกมองข้างด้านขวา เปิดไฟเลี้ยวขวา พร้อมกับหันศีรษะมองข้ามไหล่ขวาไปทางด้านหลังก่อนออกรถ
- ภายหลังออกรถไปประมาณ 3 ถึง 4 เมตร ควรทดสอบระบบเบรก
- การขับรถขึ้นทางลาดชัน ควรใช้เกียร์ต่ำและขับด้วยความระมัดระวัง
- ในขณะที่ขับรถอยู่ มีกลิ่นเหม็นไหม้ แอร์เริ่มไม่เย็น เครื่องยนต์เร่งไม่ขึ้น ควรจอดรถในที่ปลอดภัยแล้ว ตรวจเช็ครถในเบื้องต้น
- ขณะขับรถเครื่องยนต์เกิดความร้อนสูง ควรหยุดรถที่ปลอดภัย แล้วปล่อยให้เครื่องเย็นก่อน
- ในการขับรถทางไกล ผู้ขับขี่ควรเตรียมความพร้อมของร่างกาย โดยพักผ่อนให้เพียงพอ
- การขับรถในทางบังคับเลี้ยว ไม่จำเป็นต้องเปิดไฟเลี้ยว
- การหมุนพวงมาลัยรถ ขณะจอดรถอยู่กับที่จะทำให้ดอกยางสึกเร็วกว่าปกติ
- การหยุดรถอย่างกะทันหัน (รถไม่มีเบรก ABS) ควรเหยียบและปล่อยเบรกสลับกัน (ย้ำเบรกซ้ำๆ)
- รถที่ขับมาด้วยความเร็วสูงแล้วเหยียบเบรกอย่างกะทันหัน (รถไม่มีเบรก ABS) ล้อจะล็อก และรถจะไม่สามารถควบคุมได้
- ก่อนขับรถเข้าโค้งหรือมุมเลี้ยว ควรควบคุมความเร็วของรถให้เหมาะสมกับโค้งหรือมุมเลี้ยว
- ขณะขับรถ ยางรถแตก จะมีอาการ พวงมาลัยหนัก รถจะเอียง
- ยางที่หมดอายุจะมีลักษณะมีรอยแตกร้าวตามแนวขอบยาง
- ในขณะขับรถ ยางรถแตกหรือระเบิด ผู้ขับขี่ควรคุมสติ บังคับพวงมาลัย ลดความเร็วลงและไม่ควรเหยียบเบรกกะทันหัน
- ในขณะที่กำลังขับรถ ถ้าฝากระโปรงหน้ารถเปิด ผู้ขับขี่ควรลดความเร็วแล้วจอดข้างทาง เพื่อปิดฝากระโปรงให้เรียบร้อย
- เมื่อรถเกิดไฟลัดวงจร วิธีแก้ไขเบื้องต้นคือการตัดกระแสไฟ หรือหาทางงัดขั้วแบตเตอรี่ออกก่อน
- ลมยางล้อหน้าอ่อน จะมีผลทำให้เวลานั่งรู้สึกเหมือนรถจะกระตุกอยู่ตลอดเวลา
- การปรับระดับที่นั่งคนขับห่างเกินไป จะมีผลทำให้บังคับพวงมาลัยลำบาก ใช้อุปกรณ์ต่างๆ ไม่สะดวก
- การตรวจสอบว่าเข็มขัดนิรภัยยังใช้งานได้ดีหรือไม่ โดยกระตุกดึงสายเข็มขัดอย่างเร็ว แล้วสายเข็มขัดต้องล็อก
- การมองไปยังสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับการขับรถ ไม่ใช่การมองที่ถูกวิธีในขณะขับรถ
- การเข้าเกียร์ถอยหลังขณะรถยังไม่หยุดนิ่ง มีผลทำให้เข้าเกียร์ยากและทำให้เกียร์เสียเร็วกว่าปกติ
- การขับรถถอยหลัง ควรถอยช้าๆ แล้วใช้ความระมัดระวัง
- การตรวจลมยางควรตรวจขณะที่ยางยังเย็นอยู่
- การสตาร์ทเครื่องยนต์ที่ถูกต้อง คือ ขึ้นเบรกมือ-ปลดเกียร์ว่าง -ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้า-สตาร์ทเครื่องยนต์
- ขณะขับรถเมื่อฝนตกหนัก ไม่ควรเบรกรถอย่างรุนแรงและรวดเร็ว
- หากเกิดฝนตกหนักจนมองเห็นทางไม่ชัดเจน ผู้ขับขี่ควรจอดรถบริเวณที่ปลอดภัย เปิดไฟหน้ารถและเปิดไฟฉุกเฉิน
- น้ำหนักบรรทุกเพิ่มมากขึ้น ทำให้การหยุดรถต้องใช้ระยะทางมากขึ้นจึงสามารถหยุดรถได้
- ขับรถลงทางลาดชัน ไม่ควรใช้เบรกมือ
- การจับพวงมาลัยขณะขับรถทางตรง มือซ้ายและขวาของผู้ขับขี่ ควรอยู่ในตำแหน่งเลข2 และเลข 10 ของหน้าปัดนาฬิกา
- น้ำหนักบรรทุก สภาพพื้นผิวถนน ความเร็วของรถ มีผลให้ระยะการหยุดรถ (ระยะเบรก) ยาวขึ้น
- เมื่อรถเสียหรือเกิดอุบัติเหตุ ควรใช้สัญญาณไฟฉุกเฉิน
- การฝึกขับรถแบบ “ขับไปพูดไป” มีวัตถุประสงค์เพื่อฝึกสมองให้เกิดสมาธิและสมองทำงานสัมพันธ์กับตา
- เมื่อเราเตรียมขับรถแซงรถคันหน้า เราควรให้สัญญาณไฟก่อน
- ควรเปิดไฟส่องสว่างขณะขับรถฝ่าหมอกควันหรือฝน
- หลังจากขับรถลุยน้ำ เมื่อเราขึ้นที่แห้งแล้วควรทดสอบเบรกหลายๆ ครั้ง
- ถ้าขณะขับรถเกิดยางแตกหรือยางระเบิดควรถือพวงมาลัยให้มั่น แล้วค่อยๆ เบรกและนำรถเข้าข้างทาง
- ในสภาพถนนปกติ รถพร้อม คนพร้อม ขับรถตามรถคันหน้าต้องเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าห่างพอสมควรและสามารถหยุดรถได้โดยปลอดภัย จึงจะปลอดภัยเมื่อรถคันหน้าหยุด
- ห้ามพูดโทรศัพท์ขณะขับรถ ห้ามหยุดหรือจอดรถคุยกันกลางถนน ห้ามแซงซ้ายในที่ห้ามแซงซ้าย
- ท่านควรหมุนพวงมาลัยลักษณะ ใช้ระบบดึง-ดันในการเลี้ยงรถ
- การขึ้นและลงให้ใช้เกียร์ต่ำ
- เมื่อเห็นผู้ขับขี่เกิดอุบัติเหตุควรช่วยเหลือผู้บาดเจ็บเท่าที่จำเป็น
- สาเหตุที่ห้ามเปิดไฟสูงขณะที่ขับรถตามคันหน้าหรือรถที่วิ่งสวนทางมา เพราะจะทำให้ผู้ขับรถคันหน้าและรถที่วิ่งสวนทางมามองทางไม่ชัดเจน
- การขับรถทางไกลเมื่อรู้สึกว่าตนเองง่วงควรหยุดพัก นอน หรือยืดเส้นยืดสายตามจุดพัก หรือปั๊มน้ำมัน
- เปิดไปฉุกเฉินตลอดเวลา ไม่ใช่วิธีการขับรถที่ปลอดภัยในขณะที่ฝนตก
- การฝึกขับรถแบบ “ขับไปพูดไป” มีวัตถุประสงค์เพื่อฝึกสมองให้เกิดสมาธิและสมองทำงานสัมพันธ์กับตา
- เมื่อเราเตรียมขับรถแซงรถคันหน้า เราควรดูกระจกก่อนเป็นอันดับแรก
- ข้อควรปฏิบัติขณะขับรถฝ่าหมอกควันหรือฝนคือเปิดไฟส่องสว่าง
- ในสภาพถนนปกติ รถพร้อม คนพร้อม ขับรถตามรถคันหน้าต้องเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าในระยะห่างพอสมควรและสามารถหยุดรถได้โดยปลอดภัยจึงจะปลอดภัยเมื่อรถคันหน้าหยุดกะทันหัน
- แบตเตอรี่ควรมีฉนวนหุ้มที่ขั้วบวก
- สาเหตุไฟไม่ชาร์จเข้าแบตเตอรี่เกิดจากไดชาร์จชำรุดหรือสายพานไดชาร์จหย่อนหรือขาด
- สาเหตุรถสตาร์ทไม่ติดเกิดจากแบตเตอรี่ไม่มีไฟ
- การตรวจเช็กแบตเตอรี่แบบง่ายๆ ว่ามีไฟปกติหรือไม่ ควรบีบแตรและฟังเสียงว่าปกติหรือเบาลง
- ผู้ขับขี่ควรใช้สัญญาณไฟฉุกเฉินเมื่อรถเสียหรือเกิดอุบัติเหตุ
- วิธีใดเป็นวิธีการแก้ไขเบื้องต้นเมื่อเกิดไฟลัดวงจร ควรดับเครื่องยนต์และถอดขั้วแบตเตอรี่ออก
- ถ้าขั้วแบตเตอรี่มีคราบขี้เกลือ วิธีการแก้ไขคือ ใช้น้ำอุ่นล้างและทาจาระบีที่ขั้วแบตเตอรี่
- ในการถอดขั้วแบตเตอรี่ ควรถอดขั้วขั้วลบก่อน
- น้ำที่ใช้เติมในแบตเตอรี่ ควรใช้น้ำกลั่น
- การเติมน้ำกลั่นควรให้อยู่ระหว่างขีดที่กำหนดของแบตเตอรี่
- ขณะขับรถไฟเตือนสีแดงไม่ควรแสดงอยู่บนแผงหน้าปัด
- คราบขี้เกลือที่ขั้วแบตเตอรี่เกิดจากสาเหตุน้ำกรดทำปฏิกิริยากับอากาศ
- แบตเตอรี่รถยนต์มีหน้าที่เก็บรักษาไฟฟ้าและจ่ายกระแสไฟ
- แบตเตอรี่รถยนต์จะมีขนาดแรงดันไฟฟ้า12 โวลท์
- ไดสตาร์มีหน้าที่ทำให้เครื่องยนต์ติด
- ความตึงของสายพานพัดลมและไดชาร์ทที่ถูกต้องควรมีระยะ 5-15 มิลลิเมตร
- ขณะขับรถไปได้ระยะหนึ่งปรากฏว่าไฟเตือนสีแดง แสดงเกิดจากไดชาร์ทชำรุด
- การเติมน้ำกลั่นแบตเตอรี่ควรเติมให้ท่วมแผ่นธาตุประมาณ 1 นิ้ว
- ไดชาร์จทำหน้าที่ผลิตไฟฟ้าในรถยนต์
- ท่านควรเติมน้ำมันเชื้อเพลิงรถเครื่องยนต์เบนซินเติมที่มีค่าออกเทนตามที่ระบุไว้ในคู่มือรถ
- น้ำมันแก๊สโซฮอล์ คือน้ำมันที่มีส่วนผสมของเอทานอล
- น้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่มีจำหน่ายในประเทศไทยมีค่าออกเทนสูงสุดคือ ออกเทน 95
- ในการตรวจเช็กน้ำมันเชื้อเพลิงในห้องเครื่องยนต์เราควรตรวจสภาพของท่อน้ำมันและรอยรั่วซึมเป็นหลัก
- หากท่านเติมน้ำมันผิดประเภทควรทำการเปลี่ยนถ่ายออกทันที
- หากท่านตรวจพบว่าท่อน้ำมันเริ่มมีรอยน้ำมันซึมออกมาท่านควรทำการเปลี่ยนท่อใหม่
- หากรถของท่านเกิดท่อน้ำมันรั่วท่านควรทำการดับเครื่องยนต์และไม่ควรขับรถต่อไปเนื่องจากอาจเกิดไฟไหม้ได้
- ไม่ควรเติมน้ำมันหล่อลื่นลงไปผสมในน้ำมันเชื้อเพลิง
- เครื่องยนต์เบนซินกับเครื่องยนต์ดีเซลมีข้อแตกต่างกัน คือเครื่องยนต์เบนซินใช้หัวเทียนในการจุดระเบิด
- ในกรณีที่รถให้ใช้น้ำมันออกเทน 95 เท่านั้น ถ้าหากเราเติมน้ำมันค่าออกเทน 91 จะมีผลคือ เครื่องยนต์เกิดการสะดุด (น๊อก)
- ในกรณีที่เติมน้ำมันที่มีค่าออกเทนสูงกว่าในคู่มือ การใช้งานจะไม่มีผลต่อเครื่องยนต์
- ในขณะที่ท่านเติมน้ำมันเชื้อเพลิงท่านควรดับเครื่องยนต์
- การตรวจเช็กรอยรั่วซึมระบบเชื้อเพลิงท่านควรใช้จากการสังเกตและการดมกลิ่น
- หากท่านใช้ก๊าชธรรมชาติ CNG จะมีผลทำให้เครื่องยนต์สึกหรอเร็วกว่าการใช้น้ำมัน
- น้ำมันเบนซิน E85 หมายความว่ามีส่วนผสมของเอทานอล 85 ส่วน
- น้ำมันน้ำมัน E85มีการระเหยเร็วมากกว่า น้ำมัน E20 น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 และน้ำมัน95
- รถเครื่องยนต์ดีเซลหากมีสัญญาณเตือนในระบบกรองดักน้ำ ท่านควรถ่ายน้ำออกจากกรองดักน้ำ
- รถเครื่องยนต์ดีเซลหากมีควันดำมากผิดปกติเกิดจากสาเหตุกรองอากาศตัน
- หน้าที่ของน้ำมันเครื่องไม่สร้างความหนืดให้กลับเครื่องยนต์
- การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องยนต์ ควรต้องเปลี่ยนกรองน้ำมันเครื่องของเครื่องยนต์ด้วย
- การตรวจเช็กระดับน้ำมันหล่อลื่นในเครื่องยนต์ตรวจเช็กที่ก้านวัดน้ำมันเครื่องของเครื่องยนต์
- ขั้นตอนก่อนตรวจเช็กและเติมระดับน้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์ ที่ถูกต้องควรจอดรถบนพื้นราบ เช็กน้ำมันขณะยังไม่ติดเครื่อง หรือดับเครื่องยนต์อย่างน้อย 10-15 นาที
- วิธีการสังเกตรอยรั่วซึมของน้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์ได้ โดยสังเกตที่พื้นที่รถจอด และตามรอยต่อ หรือข้อต่อเครื่องยนต์
- หากลมยางล้อหน้าด้านซ้ายอ่อนเวลาขับรถจะมีผล คือพวงมาลัยกินไปด้านซ้าย
- ถ้าเติมลมยางอ่อนเกินไป จะมีผลกับยาง คือทำให้ดอกยางทางด้านข้างทั้งสองสึกหรอ
- ถ้าเติมลมยางแข็งเกินไป จะมีผลกับดอกยางตรงกลางจะสึกหรอเร็วกว่าปกติ
- การตรวจสอบลมยางต้องตรวจอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
- การเติมลมยางที่ถูกต้องควรเติมลมยางในขณะที่ยางยังเย็นอยู่
- โดยปกติการสลับยางควรสลับทุกๆ 10,000 กิโลเมตรร
- การเติมลมยางให้พอดีตามที่กำหนดไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ยางระเบิด
- ยางมีหน้าที่ช่วยยึดเกาะถนนไม่ให้ลื่นไถล
- การเติมลมยางสำหรับรถยนต์ ควรปฏิบัติตามคู่มือการใช้รถ
- ฝาปิดจุ๊บลมยางมีประโยชน์ในการป้องกันลมรั่วซึมและสิ่งสกปรกต่างๆ
- การเปลี่ยนขนาดยางเล็กเกินไปจะเกิดผลเสีย คือทำให้ความสามารถในการรับน้ำหนักลดน้อยลง
- การเปลี่ยนขนาดยางใหญ่เกินไปจะเกิดผลเสีย คือทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
- จากภาพด้านล่างตัวเลขสองตัวแรก "21" บ่งบอกถึงสัปดาห์ของปีที่ผลิตยาง
- จากภาพด้านล่าง ตัวเลขสองตัวหลัง "13" บ่งบอกถึงปี ค.ศ.ที่ผลิต
- 195/60 R 14 85H ตัว R หมายถึงโครงสร้างยางแบบเรเดียล
- การตรวจความตึงของสายพานควรใช้มือกดที่กึ่งกลางสายพาน
- กรองอากาศไม่เกี่ยวข้องกับระบบสายพาน
- สายพานขาดไม่ใช่สาเหตุของสัญญาณแตรไม่ดัง
- ขณะท่านขับรถ ถ้าได้ยินเสียงดังของเสียงยางรถเสียดสีกับถนน ถือว่าเป็นเสียงปกติ แต่ถ้าได้ยินเสียงดังที่เกิดจากเสียงสายพานหย่อย เสียงที่ดังจากที่ปัดน้ำฝน หรือเสียงคอมเพรสเซอร์แอร์ดัง ต้องรีบนำรถไปตรวจเช็ค
- หากท่านไม่นำรถไปตรวจเช็กก่อนใช้งาน ผลเสียที่ตามมาคือ ค่าใช้จ่ายในการซ่อมรถยนต์จะมากขึ้น
- ถ้าเกิดเสียงดังแหลมๆ (เอี๊ยดๆ หรือ จี๊ดๆ) ดังจากห้องเครื่อง แสดงว่า สายพานหย่อน
- หากพบว่าร่องสายพานไม่มี สายพานแตก กรอบหรือสายพานขาดครึ่งเส้นควรจะเปลี่ยนสายพาน แต่ถ้าหากพบว่าสายพานหย่อนไม่ใช่สาเหตุที่ควรจะเปลี่ยนสายพาน
- เสียงไฟเลี้ยว ไฟฉุกเฉินและไฟถอยเป็นเสียงปกติจากรถ แต่เสียงเบรกดังแสดงว่ารถยนต์ผิดปกติ
- แหวนลูกสูบหลวม การเติมน้ำมันเครื่องมากเกินไปและเครื่องยนต์สึกหรอมากเป็นสาเหตุของการเกิดควันไอเสียสีขาว
- ขั้วแบตเตอรี่หลวม น้ำมันเชื้อเพลิงหมดและมอเตอร์สตาร์ทเสียเป็นสาเหตุของการสตาร์รถไม่ติด
- เครื่องยนต์ร้อนจัดมีสาเหตุมาจากน้ำในหม้อน้ำแห้ง สายพานพัดลดขาด น้ำมันเครื่องแห้ง เป็นต้น
- ในขณะขับรถมีไฟเตือนสีแดงรูปแบตเตอรี่ปรากฏขึ้นที่แผงหน้าปัดแสดงว่า ไดชาร์ทชำรุด
- เบรกมือควรใช้เมื่อหยุดรถขณะติดดไฟแดง จอดรถบนทางลาดฃันหรือหยุดรถบนทางลาดชัน แต่ไม่ควรใช้เมื่อขับรถลงทางลาดชัน
- เบรกมือควรใช้จอดหรือหยุดรถบนทางลาดชัน
- ควรหลีกเลี่ยงการใช้เบรกอย่างรุนแรงเมื่ออยู่ทางโค้ง
- การกะระยะในการหยุดรถและเบรกอย่างนุ่มนวลเป็นวิธียืดอายุการใช้งานของผ้าเบรก
- ยางรถยนต์ เกียร์ ระบบช่วงล่าง เป็นอุปกรณ์ในการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของเบรกรถ
- ถ้าไม่ปลดล็อกเบรกมือเมื่อรถเคลื่อนตัวจะรู้สึกว่ารถเร่งความเร็วไม่ขึ้น
- เบรกเท้าจะทำงานทั้ง 4 ล้อใด
- สีของน้ำมันเบรกที่มีคุณภาพคือสีเหลืองใส
- สีของน้ำมันเบรกที่เสื่อมสภาพคือสีดำ
- เบรกมือใช้ควบคุมล้อคู่หลังของรถ
- เมื่อเหยียบเบรกแล้วเกิดเสียงดังเป็นเพราะ ผ้าเบรกหมดหรือหมดอายุ
- ผ้าเบรกจะทำงานเสียดสีกับจานเบรกของรถยนต์
- หน้าที่ของน้ำมันเครื่องยนต์ คือ ระบายความร้อนออกจากเครื่องยนต์
- หน้าที่ของน้ำมันเครื่องยนต์ ได้แก่ หล่อลื่นชิ้นส่วนที่เคลื่อนที่เพื่อลดการสึกหรอ ทำความสะอาดชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์ ระบายความร้อนออกจากเครื่องยนต์
- การเตรียมความพร้อมของรถยนต์ควรจอดรถยนต์บนพื้นราบและดับเครื่องยนต์ ก่อนการตรวจวัดระดับน้ำมันเครื่องยนต์
- การตรวจเช็กระดับน้ำมันเครื่องยนต์ดูได้จากก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องยนต์
- น้ำมันเครื่องยนต์ควรอยู่ในระดับ F ซึ่งเป็นระดับน้ำมันที่ดีที่สุด
- ถ้าระดับน้ำมันเครื่องยนต์สูงเกินไปจะทำให้เกิดแรงดันสูงในห้องเครื่องยนต์ และมีควันขาว
- ถ้าระดับน้ำมันเครื่องยนต์ต่ำเกินไปจะทำให้ชิ้นส่วนของเครื่องยนต์สึกหรออย่างรวดเร็ว
- เพื่อความปลอดภัยในการใช้รถควรตรวจวัดระดับน้ำมันเครื่องยนต์อย่างน้อยสัปดาห์ละ1 ครั้ง
- น้ำมันเบรกควรเปลี่ยนทุก 1 ปี
- คุณสมบัติของน้ำมันเบรก คือ ของเหลวที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดกำลังจากแป้นเบรก
- การตรวจวัดระดับน้ำมันเครื่องยนต์ คือ การดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องออกมาตรวจสอบ
- ขณะขับรถเมื่อรู้สึกว่าพวงมาลัยจะหนักกว่าปกติแสดงว่าระดับน้ำมันเพาเวอร์ต่ำกว่ากำหนด
- ควรเปลี่ยนน้ำมันเบรกทุกปี
- คุณสมบัติของน้ำมันเครื่องยนต์ ได้แก่ ช่วยหล่อลื่น ลดการเสียดสีและการสึกหรอ ป้องกันการเกิดสนิมในเครื่องยนต์ ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นต้น
- การตรวจสอบน้ำมันเครื่องยนต์ กระทำได้หลายวิธี เช่น สังเกตุจากสี ปริมาณและความหนืด สิ่งเจอปน ซึ่งการดมกลิ่นไม่สามารถตรวจสอบได้
- การเติมน้ำมันเครื่องควรเติมปริมาณเสมอขีดบนของก้านวัด
- หม้อน้ำรถยนต์มีหน้าที่ระบายความร้อนของเครื่องยนต์
- การเติมน้ำในหม้อพักน้ำควรเติมให้อยู่ระหว่าง Full กับ Low
- อุณหภูมิเครื่องยนต์ที่ทำงานปกติควรอยู่ระหว่าง 80 -95 องศาเซลเซียส
- ถ้าเครื่องยนต์ร้อนจัดควรเติมน้ำเมื่อเครื่องยนต์เย็นลง เปิดฝากระโปรงเพื่อระบายความร้อน ปิดแอร์ เปิดหน้าต่างและจอดรถ แต่ไม่ควรเอาน้ำราดลงไปที่เครื่องยนต์จะทำให้เครื่องยนต์เย็น
- ถ้าพัดลมหม้อน้ำเสียจะทำให้อุณหภูมิของน้ำและเครื่องยนต์เพิ่มขึ้น
- พัดลมหม้อน้ำมีหน้าที่ช่วยระบายความร้อนของหม้อน้ำ
- ไม่ควรเปิดฝาหม้อน้ำในกรณีเครื่องร้อนจัด
- สภาพท่อยางหม้อน้ำเมื่อบีบแล้วมีความยืดหยุ่นแสดงว่ายังใช้งานได้ดี
- ปั๊มน้ำรถยนต์มีหน้าที่ทำให้น้ำหมุนเวียนจากเครื่องไปยังหม้อน้ำแล้วไหลกลับเข้าเครื่องยนต์
- การตรวจระดับน้ำในหม้อน้ำก่อนใช้งานทุกวันคือวิธีป้องกันไม่ให้เครื่องยนต์ร้อนจัด
- การตรวจสอบลมยางล้อรถ จะต้องตรวจสอบทั้งสี่ล้อและล้ออะไหล่
- อุปกรณ์ที่จำเป็นควรมีไว้ติดรถ ได้แก่ แม่แรง ไฟฉาย อุปกรณ์ดับเพลิง ยางอะไหล่ เป็นต้น
- การตรวจเช็กรถก่อนใช้งาน ได้แก่ ตรวจการชำรุดของสัญญาณไฟโดยการเปิดไฟกระพริบรอบตัวรถ ตรวจวัดแรงดันลมยางเป็นประจำ เป็นต้น
- การตรวจเช็กและบำรุงรักษาอุปกรณ์รถยนต์ ได้แก่ เติมน้ำมันเครื่องโดยเติมให้อยู่ระดับบนเสมอ ควรใช้น้ำกลั่นเติมลงในแบตเตอรี่ทุกครั้ง ควรตรวจสอบการรัดตรึงของหัวขั้วแบตเตอรี่ให้มีสภาพพร้อมใช้งานเสมอ
- การตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่องในเครื่องยนต์ ควรตรวจสอบหลังดับเครื่องยนต์อย่างน้อย 10 นาที
- ในการถอดขั้วแบตเตอรี่ ควรถอดขั้วลบก่อน
- .ระดับของน้ำมันเบรก หากอยู่ในระดับที่ต่ำจะมีโอกาสทำให้เกิดอุบัติเหตุ
- ไม่ควรเติมน้ำในถังพักหม้อน้ำให้เต็มถัง เพราะต้องสำรองเนื้อที่ในการขยายตัวของน้ำเมื่อเกิดความร้อน
- ข้อควรปฏิบัติขณะขับรถ ได้แก่ ฟังเสียงเครื่องยนต์ทุกครั้งว่ามีความผิดปกติหรือไม่ ควรอุ่นเครื่องยนต์ก่อนออกเดินทางทุกครั้ง ตรวจสอบระบบส่งกำลังทุกครั้งว่าใช้งานได้อย่างปกติหรือไม่
- การตรวจสอบลมยางที่ถูกต้องควรใช้เครื่องวัดลมยาง
- สาเหตุที่ทำให้เครื่องยนต์สตาร์ทไม่ติดหรือติดยาก ได้แก่ แบตเตอรี่มีไฟไม่เพียงพอ น้ำมันเชื้อเพลิงหมด ฟิวส์ขาด เป็นต้น
- การตรวจสอบลมยางที่ถูกต้องจะต้องทำเมื่อยางล้อรถมีอุณหภูมิต่ำ
- น้ำกลั่นแห้งบ่อยครั้งจะทำให้แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานน้อยกว่าปกติ
- หม้อน้ำซึมสังเกตุได้จากการพบคราบน้ำยาหล่อเย็นบริเวณจุดที่ซึม
- หากจะเติมน้ำในถังพักหม้อน้ำ ไม่ควรเติมน้ำบาดาล
- วิธีการตรวจสอบความตึง-หย่อนของสายพานเครื่องยนต์เบื้องต้น สามารถทำได้โดยใช้นิ้วมือกดสายพานเครื่องยนต์
- การตรวจสอบระบบไฟฟ้าในรถยนต์ ควรตรวจสอบไฟเลี้ยวซ้าย-ขวา และไฟหน้าสูงต่ำ-ไฟหรี่-ไฟเบรก-ไฟส่องป้ายทะเบียนรถ
- การเติมน้ำในถังพักหม้อน้ำ ควรอยู่ระหว่างเกณฑ์สูง-ต่ำ ที่กำหนดไว้ข้างถังพักน้ำ
- สาเหตุที่ไม่ควรเติมน้ำในถังพักหม้อน้ำให้เต็มถัง เพราะต้องสำรองเนื้อที่ในการขยายตัวของน้ำเมื่อเกิดความร้อน
รูปภาพจราจร
- จากภาพผู้ขับรถคัน ก.ซึ่งต้องการขับรถตรงไป ต้องหยุดรอให้รถคัน ข.ขับผ่านไปก่อน
- จากภาพริมทางเดินที่มีเครื่องหมายจราจรบนพื้นทางสีขาวสลับแดง ห้ามผู้ขับขี่หยุดหรือจอดในบริเวณนั้นโดยเด็ดขาด
- จากภาพ รถคัน ข. มีสิทธิใช้ทางได้ก่อน เนื่องจากอยู่ในทางเอก
- จากภาพ ผู้ขับขี่รถคัน ก.ต้องการจะขับรถตรงไป ต้องหยุดรอให้รถคัน ค.ขับผ่านไปก่อน
- จากภาพเมื่อผู้ขับขี่รถขับถึงทางแยกที่มีเครื่องหมายให้ทาง (แสดงว่าเป็นทางรอง) จะต้องหยุดรถและรอให้รถในทางขวางหน้าซึ่งเป็นทางเอกขับผ่านไปก่อน
- ากภาพเมื่อผู้ขับขี่รถขับถึงทางแยกที่มีเครื่องหมายหยุด (แสดงว่าเป็นทางรอง)จะต้องหยุดรถและรอให้รถในทางขวางหน้าซึ่งเป็นทางเอกขับผ่านไปก่อน
- ภาพต่อไปนี้เป็นภาพที่แสดงการจอดรถอย่างถูกต้อง
เนื่องจากจอดในบริเวณจุดจอดรถที่จัดไว้และอยู่ในเส้นแบ่งจุดจอดอย่างเป็นระเบียบ ไม่จอดริมถนนที่ขอบทางที่แสดงการห้ามจอด หรือในบริเวณที่กีดขวางการจราจร หรือบริเวณป้ายรถประจำทาง
- ภาพด้านล่างต่อไปนี้ แสดงการจอดรถไม่ถูกต้อง
ห้ามจอดรถบริเวณริมขอบทางสีดำ-ขาว หรือ แดง-ขาว หรือ เหลืองขาว ห้ามจอดรถในทิศทางฝั่งตรงข้าม ห้ามจอดบริเวณป้ายรถโดยสารประจำทาง ห้ามจอดบริเวณใกล้ทางแยก
- ภาพด้านล่างต่อไปนี้ แสดงการหยุดรถที่ไม่ถูกต้อง เพราะหยุดบนเส้นทแยงห้ามหยุดรถ ที่กำหนดขึ้นเพื่อมิให้กีดขวางการจราจรรถคันอื่น และหยุดบริเวณห้ามหยุดรถ (ขอบทางสีดำ-ขาว)
- ภาพข้างล่างต่อไปนี้ แสดงการหยุดรถที่ถูกต้อง เนื่องจากหยุดรถบริเวณที่ไม่มีเครื่องหมายห้ามหยุด และหยุดรถก่อนถึงบริเวณทางข้าม
- ภาพด้านล่างต่อไปนี้เป็นภาพที่แสดงการเลี้ยวรถที่ถูกต้อง
การเลี้ยวรถที่ถูกต้อง โดยรถที่ต้องการเลี้ยวขวาวิ่งอยู่ในช่องจราจรตรงไปหรือเลี้ยวขวาได้และให้สัญญาณไฟเลี้ยวขวาก่อนที่จะเลี้ยว
- ภาพด้านล่างต่อไปนี้เป็นภาพที่แสดงการเลี้ยวรถที่ไม่ถูกต้อง
- ภาพด้านล่างนี้แสดงกระแสจราจรที่ถูกต้อง เนื่องจากเส้นสีเหลือคือเส้นแบ่งกระแสทิศทางจราจร และบริเวณเส้นสีเหลืองเป็นเขตปลอดภัย รถทั้งสองคันปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมายโดยไม่เข้าไปขับในเขตปลอดภัย ซึ่งกฎหมายกำหนดพื้นทีไว้เพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับคนเดินถนนหรือกรณีรถจอดเสีย และขับในทิศทางจราจรที่ถูกต้อง
- จากภาพ รถคัน B มีสิทธิ์ขับผ่านไปได้ก่อน เพราะตามกฎหมายจราจรกำหนดให้รถที่มาถึงทางแยกพร้อมกัน รถที่อยู่ช่องจราจรทางด้านขวาต้องหยุดให้รถที่อยู่ช่องจราจรทางด้านซ้ายไปก่อน
- จากภาพ เมื่อผู้ขับขี่ขับรถผ่านเครื่องหมายแบ่งช่องจราจรบนพื้นทางด้านขวาที่เป็นเส้นทึบ ผู้ขับขี่ห้ามแซงเข้าไปในทางเดินรถทางด้านขวาโดยเด็ดขาด
- ในทางร่วมทางแยกที่ไม่มีสัญญาณไฟ ถ้าขับรถมาถึงพร้อมกันรถคัน ข. มีสิทธิ์ขับผ่านไปได้ก่อน
- จากภาพ รถคัน ก.จะต้องหยุดรถเพื่อให้รถจากทางด้านซ้ายขับผ่านไปก่อน
- จากภาพ ผู้ขับขี่รถคัน ข.สามารถขับรถแซงผ่านขึ้นหน้ารถคันอื่นได้ เพราะขับอยู่ทางด้านเครื่องหมายจราจรเส้นประที่สามารถแซงหรือเปลี่ยนช่องจราจรได้
- เมื่อผู้ขับขี่ต้องการเลี้ยวขวาและมีรถทางตรงวิ่งสวนทางมา ผู้ขับขี่ต้องหยุดรอให้รถทางตรงสวนมาก่อนจึงเลี้ยวขวาได้
- กรณีมีรถเลี้ยวซ้ายและเลี้ยวขวาพร้อมกันในเส้นทางเดียวกัน ผู้ที่จะเลี้ยวซ้ายต้องหยุดให้ทางแก่รถที่เลี้ยวมาจากทางขวาก่อน
- กรณีที่เราเห็นรถคันอื่นให้สัญญาณจะเลี้ยวรถหรือเปลี่ยนช่องทางการเดินรถ เราจะต้องชะลอความเร็วและให้ทางแก่เขาไปก่อน
การรับรู้สถานกราณ์อันตราย
- รถยนต์ ก. และรถยนต์ ข. วิ่งมาถึงทางแยกพร้อมกัน และเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวกัน ดังรูป ต้องถือว่ารถยนต์คัน ก. เป็นฝ่ายผิด เนื่องจากบริเวณทางแยกลักษณะนี้ ต้องให้รถที่อยู่ด้านขวาไปก่อน
- รถ ก. , ข. และ ค. เลี้ยวซ้ายพร้อมกันดังรูป ถือว่า รถยนต์คัน ก. และรถยนต์คัน ค. กระทำผิดกฎหมาย
- หากท่านประสงค์จะขับรถเข้าซอยทางซ้าย ด้านหน้ารถโดยสารประจำทาง ท่านต้องหยุดรอ ให้รถโดยสารประจำทางออกไปก่อน จึงเลี้ยวเข้าซอย
- หากท่านขับรถคัน ก. ออกจากห้างสรรพสินค้า ซึ่งมีป้ายรถเมล์อยู่หน้าห้างดังรูป ท่านจะต้องหยุดรถบริเวณทางออก ดูรถด้านขวามือ ถ้าไม่มีรถวิ่งมาก็ดูรถด้านซ้ายมือว่ามีรถมาจอดต่อท้ายรถโดยสารประจำทางหรือไม่ ถ้าด้านซ้ายมือไม่มีรถก็ขับรถออกไป
- จากรูปเป็นการชนประสานงากันระหว่างรถคัน ก และ รถคัน ข รถ ก. ผิด เพราะแซงด้านซ้าย ส่วนรถ ข. ผิดเพราะขับรถย้อนศร
- สมมติท่านขับรถคัน ก. ในระหว่างที่ขับรถอยู่นั้นรถในช่องทางด้านขวามือของท่านตั้งแต่รถคัน ข. ลงมา อยู่ ๆ ก็หยุดรถท่านเห็นรถในช่องขวามือของท่านหยุด ท่านต้องหยุดรถพราะคาดว่าทางข้างหน้าอาจจะมีคนข้าม
- ท่านขับรถตามหลังรถโดยสารประจำทาง เมื่อถึงป้ายรถเมล์ รถโดยสารประจำทางจอดให้ผู้โดยสาร ท่านควรหยุดรถหลังรถโดยสารประจำทางเพราะอาจจะมีคนโดยสารรถประจำทางเดินตัดหน้ารถโดยสารประจำทาง
- เมื่อท่านขับรถยนต์ไปในทางโค้งด้านขวา รถเสียหลักหลุดโค้งออกไปด้านซ้ายลงข้างทางไปชนเสาไฟฟ้า ถือว่าท่านกระทำผิดกฎหมายจราจรทางบก เนื่องจากไม่ชะลอความเร็วของรถเมื่อขับรถในทางโค้ง
- เมื่อท่านขับรถที่มุ่งหน้าเข้าหาหน้าผาของภูเขาสูง แสดงว่าถนนที่ท่านกำลังขับรถอยู่นั้นจะต้องเป็นทางโค้งขวาหรือโค้งซ้าย
- ท่านเห็นรถ ก. ชนกับรถ ข. อย่างแรงจนรถทั้ง 2 คันพังยับเยินผู้ขับรถทั้ง 2คนเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ตรงบริเวณสามแยก โดยเห็นว่ารถ ข. วิ่งออกจากซอย ชนกับรถ ก. ที่วิ่งมาบนถนนสายหลัก ดังรูป
ถือว่าผิดทั้งคู่ เพราะผู้ขับรถ ก. ไม่ลดความเร็วเมื่อขับรถผ่านทางร่วมทางแยก และผู้ขับรถ ข. ไม่ให้รถที่มีสิทธิ์ผ่านไปก่อน
- เมื่อท่านจะขับรถออกจากปากซอย ดังรูป ท่านควรหยุดรถที่ปากซอยก่อนแล้วรอจังหวะเลี้ยวออกไป
- ท่านขับรถคัน ก. เมื่อท่านขับรถถึงบริเวณสี่แยกที่ไม่มีไฟสัญญาณจราจร ท่านควรหยุดรถก่อนเมื่อถึงทางแยก
- ในขณะที่ท่านกำลังขับรถเลี้ยวขวา ดังรูป ท่านเห็นว่าเบรกไม่ทันรถของท่านจะชนรถคันหน้า จะหักพวงมาลัยรถไถลลงข้างทางไปชนต้นไม้ ถิอว่าผิดกฎจราจรเพราะไม่ลดความเร็วของรถเมื่อขับผ่านทางร่วมทางแยก
- ขณะที่กำลังขับรถอยู่ มีสุนัขวิ่งตัดหน้ารถ ท่านหักหลบสุนัขลงข้างทาง ถือว่าท่านขับรถไม่เป็น
- ท่านขับรถคัน ก. เหตุการณ์ต่อไปนี้ ท่านเป็นฝ่ายกระทำผิดเพราะแซงอย่างผิดกฎหมาย
- ท่านขับรถคัน ข. จากรูปรถของท่านถูกรถของนาย ก. คัน ก. ชนบริเวณสี่แยกที่ไม่มีสัญญาณไฟจราจร ถือว่าคัน ก เป็นฝ่ายผิด เพราะกลับรถในบริเวณทางร่วมทางแยก
- รถของท่าน (คัน ข.) ชนกับรถของนาย คัน ก. ตรงบริเวณที่ท่านกำลังเลี้ยวขวาเข้าซอย ดังรูป (รูปภาพ) ท่านเป็นฝ่ายผิด เพราะขับล้ำเข้าในช่องทางรถสวน
- สมมติว่าในขณะที่ท่านรอข้ามถนนได้เห็นเหตุการณ์รถตู้ส่งของมีคนนั่ง 2 คนถูกรถเก๋งชนท้าย
ด้านขวา ทำให้รถตู้หมุน 3 รอบ คนขับรถตู้กระเด็นออกจากตัวรถ ศีรษะฟาดพื้นถนนเสียชิวิต
คนขับรถตู้กระเด็นออกจากตัวรถเนื่องจากไม่คาดเข็มขัดนิรภัย
- สมมติว่า นาย ก. มีโปรแกรมขับรถตู้พาครอบครัวจากกรุงเทพฯไปท่องเที่ยวจังหวัดแม่ฮ่องสอน
โดยออกเดินทางในเวลา 02.00 น. คาดว่าจะไปถึงจังหวัดแม่ฮ่องสอนในเวลาประมาณ 20.00 น.
เมื่อขับรถติดต่อกันเป็นเวลา 12 ชั่วโมง ปรากฏว่ารถเสียหลักแฉลบลงข้างทางชนต้นไม้ เป็นเหตุ
ครอบครัวของนาย ก.ได้รับบาดเจ็บหลายคน อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นอาจเนื่องมาจาก นาย ก. หลับใน หรือไม่ชำนาญเส้นทาง
- การถูกรถในช่องทางขับข้ามเกาะกลางมาชนประสานงาเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงที่สุดที่เกิดขึ้นกับรถที่ขับช่องขวาสุด
- เมื่อท่านจะขับรถผ่านบริเวณที่เป็นสี่แยกเล็ก ๆ ดังรูป เหตุการณ์ต่อไปนี้อาจเกิดขึ้นได้